Education Unlimited

 
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
นักเรียนเก่งที่สุดในโลกเขาปั้นกันอย่างไร?
Thursday, September 22, 2005
นักเรียนเก่งที่สุดในโลกเขาปั้นกันอย่างไร?
รศ.ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์ Ph.D.นักเรียนมัธยมอายุ 15 ปีของประเทศฟินแลนด์ สามารถทำคะแนนจากแบบทดสอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านได้ดีที่สุด ในบรรดาประเทศในกลุ่มองค์การเพื่อการพัฒนาและร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ (OECD-Organization for Economic Cooperation and Development)การทดสอบด้วยโปรแกรมการประเมินนักเรียนนานาชาติ เรียกว่า PISA-Programme for International Student Assessment เป็นโครงการประเมินของผลการเรียน เป็นช่วงๆ ละ 3 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 15 ปีของประเทศสมาชิก ปีแรกทำการประเมินในปี ค.ศ. 2000 เน้นทดสอบด้านความสามารถในการอ่าน ช่วงที่ 2 ประเมินในปี 2003 ทดสอบด้านคณิตศาสตร์ และ การแก้ปัญหา และในปีพ.ศ. 2006 ทำการทดสอบความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากผลการทดสอบล่าสุดปี 2003 มีนักเรียนเข้าร่วมจำนวน 6,235 คน จากโรงเรียน 197 แห่ง จาก 161 ประเทศซึ่งนับรวมประเทศไทยด้วย ปรากฏว่านักเรียนจากฟินแลนด์ ชนะเลิศในวิชาการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ส่วนเทคนิคการแก้ปัญหาแพ้แก่นักเรียนจากประเทศเกาหลีไต้เพียงเฉียดฉิว ในทุกวิชานักเรียนฟินแลนด์ ทำค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม OECD ประมาณ 40-50 คะแนน จากคะแนนเฉลี่ยโดยทั่วไปประมาณ 500 คะแนนความเข้าใจและใส่ใจต่อความต้องการของเด็กคือกุญแจสู่ความสำเร็จจากการสำรวจโรงเรียนของฟินแลนด์พบว่า กุญแจสำคัญอันนำไปสู่ความสำเร็จดังกล่าว ประกอบด้วย1. การประกันความเสมอภาคทางโอกาสแก่นักเรียนทุกคนโดยไม่แบ่งชนชั้น2. ไม่มีการเปรียบเทียบผลการเรียนระหว่างบุคคล จะเน้นการให้ความช่วยเหลือแนะแนวทางนักเรียนที่มีความต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งนี้พบว่ามีเด็กนักเรียนเพียงจำนวนน้อยนิดที่ต้องเรียนซ้ำชั้น3. ปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่เกื้อหนุนให้นักเรียนฟินแลนด์ เก่งกาจขนาดนี้มีหลากหลายปัจจัย เช่นเด็กเล็กๆ รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น และมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นจากการสอนของครูเพียงคนเดียว นักเรียนเรียกชื่อแรกของครู เหมือนคนไทย ไม่มีการให้เกรดในการประเมินการเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนเป็นไปในลักษณะอบอุ่น เป็นธรรมชาติ มีการเน้นการสร้างสรรค์บรรยากาศอันรื่นรมย์ และจูงใจให้เกิดเรียนรู้เป็นอย่างสูงในโรงเรียน การจัดให้มีเครือข่ายห้องสมุดแบบผสมผสาน การจัดให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านของนักเรียนโดยตรง นักเรียนฟินแลนด์ เป็นนักอ่านชั้นยอดเกือบทุกคน รายการโทรทัศน์จากต่างประเทศ จะออกอากาศเป็นภาษาต่างประเทศโดยตรง และใช้ภาษาฟินแลนด์เป็นตัววิ่งอยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นวิธีช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนภาษาต่างประเทศได้ดีขึ้น สามารถ อ่านภาษาของตนเองได้เร็วขึ้นหลักและวิธีการสอน.. การเรียนการสอนยึดหลัก การเรียนรู้ด้วยการกระทำและจากพื้นฐานกิจการของชุมชน (Learning by doing and Community Orientation) ของนักการศึกษาชาวฝรั่งเศสชื่อ Ce'lestin Freinet ซึ่งปรากฏให้เห็นทั้งในหลักสูตรแกนกลางแห่งชาติ และหลักสูตรเฉพาะของแต่ละเมือง โรงเรียนบางแห่งเช่น Stromberg School ยอมรับหลักการดังกล่าวในเชิงปฏิบัติ โดยการออกแบบและสร้างโรงเรียนให้เป็นห้องปฏิบัติการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมของผู้เรียน ตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียนในแต่ละชั้นเรียนจะมีหลากหลายช่วงอายุของนักเรียน จะไม่มีการนำผลการเรียนมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล การมอบหมายงานระหว่างนักเรียน เรียนเร็ว และเรียนช้า จะมีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละคนการเรียนรู้เริ่มจากกิจกรรมประจำวันกิจกรรมการเรียนของนักเรียนเริ่มจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในงานประจำวันทั่วไป ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ละกลุ่มจะสลับกันทำกิจกรรมต่างชนิดกัน เช่นเข้าไปดูเรือนเพาะชำกล้าไม้ ชมห้องสมุด การเก็บขยะกระดาษ การนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ใหม่ การทำปุ๋ยหมัก สนามหญ้า ตู้ปลา ช่วยงานโรงอาหาร ช่วยเลี้ยงและให้อาหารเต่าทะเล ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ ครูจะไม่เป็นผู้แนะนำ แต่จะให้บุคลากรในสถานที่นั้นๆ เป็นพี่เลี้ยงให้ เช่น พนักงานทำความสะอาด แม่ครัว ยาม ฯลฯ ซึ่งทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน ในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนทุกคนชั้นเรียนเปิดต้อนรับ พ่อ-แม่ผู้ปกครองเข้ามาช่วยสอนในห้องปฏิบัติการ และช่วงเย็นหลังเรียน ขณะเดียวกันโรงเรียนจะนำนักเรียนไปดูงานนอกสถานที่เป็นประจำในแต่ละปีโรงเรียนจะมีเป้าหลักเพื่อการเรียนรู้แตกต่างกันไปเกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ (Water Earth Air and Fire) การเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สามารถประมวลเข้ากับสถานที่ต่างๆได้อย่างกลมกลืนและมีศิลปะ เช่น สนามเด็กเล่น สถานรับรับเลี้ยงดูเด็กตอนกลางวัน ฯลฯโรงเรียนแบบประสมนักเรียนฟินแลนด์เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ใช้เวลาเรียนในภาคบังคับ 9 ปี จนอายุ 17 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งค่าเรียน ค่าอาหารกลางวัน ค่าเดินทางไปกลับ จากโรงเรียน ค่าดูแลรักษาสุขภาพฟรีทั้งหมดสรุปปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของนักเรียนฟินแลนด์1. โครงสร้างทางสังคมซึ่งเสริมส่งการอ่านก. วัฒนธรรม ความรักการอ่านหนังสืออย่างจริงจังของชาวฟินแลนด์ เช่นเกือบทุกบ้านเป็นสมาชิกรับหนังสือพิมพ์, พ่อแม่ช่วยลูกอ่านหนังสือที่บ้าน ค่านิยมเรื่องการอ่าน การรู้หนังสือเป็นที่ยอมรับของสังคม สื่อมวลชนมีบทบาททางสร้างสรรค์ก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่านและการเขียน ฯลฯข. ระบบเครือข่ายของห้องสมุดที่มีมากมายกระจายทั่วทุกพื้นที่ มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกทันสมัย มีหนังสือตำรา ที่ควรค่าต่อการอ่านสำหรับครอบครัว สามารถสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตได้ มีพนักงานห้องสมุดที่ให้บริการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้ให้เข้ากับโรงเรียนค. แม่ของเด็กชาวฟินแลนด์ จะมีการศึกษาสูง ตำแหน่งการงานดี เป็นแบบอย่างแก่เด็กหญิงชาวฟินแลนด์ได้ดี โดยเฉพาะด้านการอ่านหนังสือมีมากกว่าผู้ชาย (พ่อ)ง. การใช้ตัววิ่งภาษาฟินแลนด์ในภาพยนตร์ต่างประเทศ เสียงในฟิล์มทำให้เด็กชาวฟินแลนด์อ่านได้รวดเร็วยิ่งขึ้นจ. การท่องเน็ต, การส่งข้อความสั้นๆ (SMS) การเล่นเกมส์ เป็นงานอดิเรกสามารถเพิ่มนิสัยรักการอ่านได้ แม้อาจลดการอ่านหนังสือลงบ้าง2. ปัจจัยเรื่องการเรียนการสอนและภาษาฟินแลนด์ก. ตัวอักขระ และการเขียนของภาษาฟินแลนด์ ตรงกับเสียงที่เปล่งออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้การเรียนรู้ในการอ่านทำได้ง่าย (What you say is What you write)ข. หลักสูตรแห่งชาติเน้นทักษะกลยุทธ์การอ่าน และการเขียน ส่วนวิธีการประเมินเพื่อปรับปรุงให้ครูและโรงเรียนมีอิสระในการเลือกค. อุปกรณ์การสอนมีหลากหลาย ครูสามารถเลือกวัสดุประกอบการสอนได้อย่างเป็นอิสระง. นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือก หนังสือ วารสาร หรือสื่ออื่นๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนการอ่านจ. เด็กๆ จากครอบครัวผู้อพยพสามารถเรียนรู้การอ่านด้วยภาษาของตนเองฉ. ครูมีส่วนช่วยให้นักเรียนอ่านหนังสือในเวลาว่างทุกโอกาสช. โรงเรียนและห้องสมุด, หนังสือพิมพ์ และวารสารมีส่วนช่วยในการเรียนเป็นอย่างสูงสรุปภาพรวมของความสำเร็จ- ถามว่าฟินแลนด์จัดหาครูเก่งได้อย่างไร? อาจเป็นเพราะค่านิยมเรื่องการอ่านออกเขียนได้ ได้รับการยกย่อง ดังนั้นการคัดเลือกผู้ที่จะไปสอน หรือฝึกสมองคน จึงกระทำอย่างเข้มข้น ผู้สมัครเข้าเรียนครู 7 คนจะได้รับการคัดเลือกเพียง 1 คนซึ่งเข้มข้นกว่าการคัดเลือกเข้าเรียนเป็นแพทย์ วิศวกร หรือ นักกฎหมาย ครูที่ไร้ความสามารถจะถูกไล่ออกซึ่งมีน้อยมาก ครูมีเสรีภาพทางวิชาการสูงมาก สามารถเลือกวิธีสอนได้เอง เลือกสื่อการสอนเองหรือไม่เลือกเลยก็ได้ ไม่มีการประเมินหรือตรวจสอบครู- การไม่มีแบบทดสอบมาตรฐานไม่มีการสอบไล่ ทำให้นักเรียน เรียนด้วยความสบายใจไม่กดดันและเป็นธรรมชาติ มีการสอบเข้มข้นเพียงครั้งเดียวตอนอายุ 18 ปี คือการสอบเข้าเป็นนักศึกษา (Matriculation) ในมหาวิทยาลัย โดยเฉลี่ยนักเรียน 2 ใน 3 ส่วนสามารถสอบเข้าเรียนต่อได้- การให้บริการอาหารกลางวัน การเดินทาง การบริการสุขภาพและ ค่าเล่าเรียนจัดให้ฟรี ทั้งหมดทำให้ครูและนักเรียนสามารถมุ่งเรื่องการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่- นักเรียนได้รับการฝึกให้ค้นคว้าด้วยตนเอง ตั้งเป้าหมายการเรียนด้วยตนเอง และประเมินตนเองตลอดเวลา- ครูต้องให้กำลังใจนักเรียนเท่านั้น และต้องถือว่าข้อผิดพลาดของนักเรียนคือโอกาสแห่งการเรียนรู้ใหม่ๆ ครูต้องช่วยเหลือเต็มที่แหล่งอ้างอิง1. เฟอร์กัส บอร์เดวิช เรียนดีเลิศ Reader’s Digest กันยายน 2548. P95-1012. The Finnish School-a source of skills and well-being available : http://virtual.finland.fi/Education_Research/
posted by Dr.Supit @ 2:38 PM   1 comments
การเลี้ยงมดแดงไข่
การเลี้ยงมดแดงไข่

ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์ Ph.D.

1. เกี่ยวกับมดแดง
มดแดงไข่เป็นแมลงชนิดหนึ่ง ชอบทำรังและออกไข่ตามต้นไม้ แบ่งเป็น 2 ชนิด
ก. แม่เป้ง ลักษณะลำตัวสีเขียวปนน้ำตาล ส่วนมากจะมีปีก ขนาดใหญ่กว่า ชัดเจน ทำ
หน้าที่ออกไข่ และป้องกันศัตรู สร้างรัง
ข. มดแดงทั่วไป ลำตัวสีแดง ทำหน้าที่ออกหาอาหาร ป้องกันศัตรู สร้างรัง ต้องเดินทางออกจากรังไปหาอาหาร
ไข่มดแดง ในรังมดแดงมีไข่ 3 ชนิดดังนี้
ก. ไข่มาก เป็นไข่ขนาดใหญ่ที่สุด ฟักออกมาเป็นแม่เป้งโดยเฉพาะ
ข. ไข่ฝาก ขนาดปานกลาง มีจำนวนมากที่สุด ฟักออกมาเป็นมดแดงทั่วไป
ค. ไข่มดดำ ไข่สีดำ ขนาดเล็กฟักออกมาเป็นมดดำมีปีก มักบินหนีในเวลาอันสั้น

2. วิธีเลี้ยงมดแดง
มดแดงกินอาหารจำพวกเศษเนื้อสัตว์ทุกชนิด ก้างปลา ซากแมลง หอย เศษอาหาร ที่ขาดไม่ได้ คือ มดแดงต้องกินน้ำ จึงไม่น่าแปลกว่าทำไมมดแดงชอบไต่ราวตากผ้าเข้ามาในบ้าน !!!

การให้อาหาร
อาหารมดแดงควรอยู่ในภาชนะที่ไม่มีน้ำขัง ทำให้เศษอาหารแห้งได้ ไม่บูดเน่า การลำเลียงกลับรังทำได้ง่าย เศษอาหารควรมีขนาดเล็ก ภาชนะที่เหมาะที่สุดคือ ตะแกรงลวด หรือมุ้งลวดเก่า หรือภาชนะจัดสานขนาดเล็ก ผูกติดกิ่งไม้เหนือศีรษะ ป้องกันสัตว์ชนิดอื่นทำลายหรือกินเศษอาหาร










การให้น้ำ
ใช้ขวดพลาสติกเจาะด้านข้างขนาดกว้างประมาณ 1 ใน 3 ของขวด ปิดฝาให้สนิทป้องกันฝุ่นหรือสิ่งสกปรกหล่นลงไป ผูกคอขวดด้วยเชือก เติมน้ำให้เต็มรอยเจาะ ใช้ไม้เล็ก ๆ 2-3 ชั้นจุ่มลงไปในน้ำเป็นสะพานให้มดลงไปกินน้ำ ถ้าไม่มีสะพานมดอาจตกน้ำตายได้








3. ศัตรูของมดแดงไข่
มดแดงไข่จะอพยพหนีจากต้นไม้ที่เลี้ยงไว้ด้วยสาเหตุต่อไปนี้
ก. มีมดดำมาบุกรุกหรือ ตอนนำมดแดงมาปล่อยไม่ได้ขจัดมดดำให้หมด หรือมีมดดำบนต้นไม้ข้างเคียง
ข. จุดไฟใต้ต้นไม้ของมดแดงไข่
ค. ใช้ขี้เถ้าหว่านบนต้นไม้ของมดแดงไข่
ง. ใช้สารเคมีฉีดพ่นบริเวณใกล้เคียง
จ. ขาดอาหารและน้ำ
4. การเก็บไข่มดแดง
ควรใช้ไม้แหย่เหมือนที่เคยปฏิบัติ เจาะรูบนรังให้เล็กสุดเคาะเบา ๆ ให้ไข่ร่วงลงบนถังน้ำ ข้อสำคัญ ต้องปล่อยแม่เป้งให้หมด เพื่อให้ออกไข่ขยายพันธุ์ต่อไป
เราต้องช่วยกันเปลี่ยนเศษอาหารงานเลี้ยงเป็นไข่มดแดง 1 งานเลี้ยง : ไข่มดแดง 100 กิโลกรัม!!!



* รองศาสตราจารย์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
*นักวิชาการประจำ คณะกรรมาธิการ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา
*Ph.D. (University of Missouni - Columbia) สหรัฐอเมริกา
* ห้ามแปลเป็นภาษาต่างประเทศ
posted by Dr.Supit @ 2:55 AM   0 comments
มะละกอ GMO จดทะเบียนฝรั่ง!!!!
มะละกอ GMO จดทะเบียนฝรั่ง : นักวิชาการขายตัวหรือนักการเมืองขาดวิสัยทัศน์ ?

*รองศาสตราจารย์ ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์


ชาวขอนแก่นรู้สึกรันทดใจต่อข่าวมูลนิธิมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้นำมะละกอไปดัดแปลงพันธุกรรมและจดทะเบียนสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว
การกระทำการของฝรั่งครั้งนี้เป็นการบี้บาทาลงบนหัวของคนไทย โดยเฉพาะคนอีสานเป็นการเฉพาะ ท่านนักวิชาการในรั้วในมหาวิทยาลัยจะรู้หรือไม่หนอว่า “มะละกอ” ไม่ใช่แค่ผลไม้ชนิดหนึ่งของคนอีสาน แต่มะละกอยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนอีสานและคนไทยภาคอื่นๆ และคนเขมร ลาว อพยพอีกหลายสิบล้านคนทั่วโลก พอๆ กับปลาร้าหรือปลาแดกของคนอีสาน ฝรั่งเขาอ่านการตลาดทะลุปรุโปร่ง จึงได้แวะเวียนมาในคราบของนักบุญให้ทุนนักวิชาการไทยทำการวิจัย ซึ่งก็ไม่ใช้ความผิดเสียทีเดียว เพราะนักวิชาการหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทยนั้นถูกวิสัยทัศน์การบริหารงานองค์กร (มหาวิทยาลัย) ในฐานะผู้นำทางปัญญา ทอดทิ้งมานานหลายชั่วอายุคน ต้องให้คนเหล่านี้ดิ้นรนหาแหล่งเงินทุนต่างชาติมาทำการวิจัย เพื่อยังชีพ ภายใต้สัญญาการผูกมัดเอาเปรียบนานาประการ รวมถึงสัญญาผูกมัดว่าเจ้าของแหล่งเงินทุนเป็นเจ้าของสิทธิ์ด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจว่านักวิชาการเหล่านี้ ได้กลายเป็นเครื่องมืออย่างเป็นทางการให้กับต่างชาติเข้ามากอบโกยทรัพยากร อันอุดมสมบูรณ์ของบ้านเราไปเกือบหมดอยู่แล้ว
ในอดีตนักการเมืองผู้กุมชะตาด้านการเกษตรของไทย ดูแล้วห่อเหี่ยวสิ้นหวัง มองหาวิสัยทัศน์ที่จะ “หวงแหน” ทรัพยากรด้านพันธุ์กรรมน้อยเหลือเกิน
ข้อวิกฤตกังวลเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงแก้ไขกับทรัพยากรพื้นบ้านอื่นๆ ที่ชาวบ้านนิยมบริโภค เช่น ผักหวาน ไข่มดแดง แมงจีนูน ปูนา เห็ดนานาชนิด หรือ แม้แต่หมอลำที่ฝรั่งนำไปดัดแปลงพันธุ์กรรมเป็นหมอลำ GMO* แล้ว นำไปจะทดเบียน อีกหน่อยอีสานบ้านเฮาจะลำเพลิน ลำกลอน ลำซิ่ง คงต้องขอใช้ลิขสิทธิ์ฝรั่งเสียก่อนเป็นแน่
การพัฒนาหลักสูตรในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้อิสระแก่โรงเรียนคิดหลักสูตรท้องถิ่นได้เองร้อยละ 30 ผมแอบดีใจอยู่ลึกๆ ว่าจะนำสิ่งต่างๆ ในท้องถิ่นดังกล่าวมาให้เด็กเรียนและสานต่อและพัฒนากับสินค้า OTOP
แต่สายไปหน่อยที่โรงเรียนคงไม่มีนักวิชาการในมหาวิทยาลัย คอยช่วยเหลือเพราะไม่มีทุนก้อนโตจ้างทำวิจัย รวมทั้งนโยบายระดับชาติที่ผ่านมาก็ปิดเป็นความลับทั้งหมด
โอ้อีสานบ้านเฮา…ดินไม่ดำ น้ำไม่ชุ่ม แล้วยังถูกรุมกินโต๊ะอีกหรือนี่….

*GMO;Genetically Modified Oganism;หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุ์กรรม


*คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
*นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม วุฒิสภา
posted by Dr.Supit @ 2:52 AM   6 comments
ความน่าเชื่อถือของเว็บไซด์
ความน่าเชื่อถือของเว็บไซด์
Web Site Credibility
สุพิทย์ กาญจนพันธุ์ Ph.D.*

การประชาสัมพันธ์องค์กร หรือส่วนบุคคลโดยการนำเสนอเผยแพร่ผ่านเครือข่าย WWW เป็นไปอย่างแพร่หลายรวดเร็ว การประเมินหรือให้ความสำคัญกับสาระของเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ สำหรับผู้บริโภคข่าวสารว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อสารสนเทศเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
จากการสำรวจของ Persuasive Technology Lab ของมหาวิทยาลัย Stanford จากกลุ่มตัวอย่าง 1400 ตัวอย่าง ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพื่อประเมินเว็บไซต์จำนวน 51 แห่ง พบว่า มีปัจจัยบางประการช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ และปัจจัยบางประการที่ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือลดลง จากปัจจัยรวมทั้งเจ็ดประการ พบว่า 5 ปัจจัยแรกมีส่วนทำให้เกิดความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นได้แก่ ก.รู้สึกอยู่ในโลกของความเป็นจริง (real-world feel)
ข. ใช้งานง่าย (ease of use)
ค. เป็นผู้ชำนาญการ (expertise)
ง. ความไว้เนื้อเชื่อใจได้ (trustworthiness)
จ. เอาใจใส่ต่อผู้เยี่ยมชม (tailoring)
ปัจจัยที่ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงคือ :
ฉ. มีลักษณะเพื่อการค้า (Commercial implications)
ช. ความเป็นมือสมัครเล่น (amateurism)
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ทั้งทางบวกและทางลบ จึงเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาในการออกแบบเว็บไซต์ต่อไป









รองศาสตราจารย์ ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์
*คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
*นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมวุฒิสภา
ที่มาของปัญหา
ท่านที่เคยท่องเว็บจะสังเกตพบว่า มีเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งนำเสนอสารสนเทศลักษณะด้อยคุณค่า หรือนำเสนอข้อความทำให้เกิดความเข้าใจผิด , หรือไม่นำเสนอสารสนเทศใด ๆ แต่มีชื่อ URL หรือเว็บไซต์เท่านั้น (Under Construction-หรือกำลังก่อสร้างทั้งปี!!!) นักท่องเว็บจึงเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของเว็บต่าง ๆ อันเป็นเหตุให้บรรดาผู้สร้างเว็บต้องสำรวจตรวจสอบตนเองว่า เว็บที่สร้างขึ้นมีความน่าเชื่อถือได้เพียงใด ในปัจจุบันการออกแบบเว็บไซต์มักใช้ศิลปะมากกว่าความเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่มีงานวิจัยใด ๆ ชี้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

ความน่าเชื่อถือนั้นเป็นฉันใด?
ความน่าเชื่อถือ (credibility) อาจนิยามได้ว่า หมายถึง ความเชื่อได้ (believability) ดังเช่น คนน่าเชื่อถือได้ สารสนเทศที่น่าเชื่อถือก็คือสารสนเทศที่เราเชื่อได้นั่นเอง ความน่าเชื่อถือยังมีลักษณะสองประการคือ ความรู้สึกว่ามีคุณภาพ คุณภาพที่ผู้คนรับรู้ (Perceived) ดังกล่าว อาจไม่มีอยู่ในบุคคล , วัตถุหรือสารสนเทศจริง ๆ ก็ได้
ดังนั้นการอภิปรายถึงคุณภาพของคอมพิวเตอร์ใด ๆ จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงความน่าเชื่อถือได้จากการรับรู้ (Perception of credibility) เสมอ
นักวิชาการเชื่อว่าการรับรู้เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือได้เป็นผลมาจากสมองได้ประเมินปัจจัยหลากหลายไปพร้อม ๆ กัน ปัจจัยสำคัญ ๆ อาจได้แก่ ;
ก. ความไว้เนื้อเชื่อใจได้ (trustworthiness) เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่นักท่องเว็บจะประเมินสารสนเทศต่าง ๆ ผ่านเว็บเพจส์ ประกอบด้วยความตั้งใจจริง (well intentioned) , ความมีสัจจะ (truthful) , ความไม่ลำเอียง (unbiased) ความไว้เนื่อเชื่อใจได้จึงย่อมบ่งบอกถึงความดีงามและมีจรรยาบรรณของเว็บไซต์
ข. ความเป็นผู้ชำนาญการ (expertise) หมายถึง มีความรอบรู้ มีประสบการ มีสมรรถนะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะบ่งบอกถึงความรู้ และทักษะที่เว็บไซต์แสดงออกมา
เมื่อรวมทั้งสองปัจจัยเข้าด้วยกันอาจสรุปได้ว่า เว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างสูง จะต้องทำให้ผู้มาเยี่ยมชมรับรู้ว่า มีความไว้เนื้อเชื่อใจได้ และความเป็นผู้ชำนาญการในระดับสูง

ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ;
บุคคลโดยทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ หรือที่อยู่อาศัย จะประเมินความน่าเชื่อถือได้ของเว็บไซต์คล้าย ๆ กัน จึงสามารถนำผลการวิจัยมาสรุปเพื่อการออกแบบเว็บไซต์ได้ดังต่อไปนี้
1. ออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงเอกลักษณ์ขององค์กร
การแสดงที่อยู่หมายเลขโทรศัพท์ และภาพถ่ายของบุคคลในองค์กรเพี่อให้ผู้สนใจติดต่อค้นหาได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความน่าเชื่อถือได้

2. การออกแบบให้ใช้งานง่าย สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ไม่เกิน 3 คลิ๊ก ที่สำคัญถ้ามีการลิงค์ต้องมีสารสนเทศอยู่จริง สามารถมองหาเครื่องหมายนำทาง (navigator) ได้ง่าย
3. แสดงถึงความเป็นผู้ชำนาญการ เช่น มีชื่อนักเขียนบทความ , การอ้างอิงชัดเจน
4. แสดงถึงความไว้เนื่อเชื่อใจได้ , เช่น การเชื่อมโยงถึงเว็บไซต์อื่น ๆ จะต้องบอกถึงความจำเป็นและความสำคัญของสาระนั้น ๆ อันแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ ความไม่ลำเอียง ซึ่งบางครั้งขัดกับนโยบายขององค์กรเหล่านั้นซึ่งมุ่งแต่การประชาสัมพันธ์ตนเอง
5. การเอาใจใส่ต่อผู้เยี่ยมชม หรือผู้ใช้งาน เช่น yahoo mail จะขึ้นคำว่า welcome to yahoo mail Supit!! ทุกครั้งที่เรา sign in เข้าไปเป็นต้น
6. หลีกเลี่ยงการโฆษณาบนเว็บไซต์ คนส่วนมากไม่ชอบการโฆษณาบ้าบิ่น การนำโฆษณามาผสมผสานกับสาระบนเว็บเพจทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง อย่างไรก็ตามผลการวิจัยชี้ว่า banner ads หรือป้ายโฆษณาเล็ก ๆ น่ารัก ๆ จะช่วยให้เพิ่มความน่าเชื่อถือได้
7. หลีกเลี่ยงความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ผลการออกแบบเว็บไซต์จะต้องมีลักษณะมืออาชีพ ความผิดพลาดเพียงน้อยนิด เช่น พิมพ์ชื่อคนผิดไปวางภาพกับคำอธิบายผิดตำแหน่ง เว้นวรรคผิดที่ จะทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงอย่างมาก
จากการทำวิจัยซ้ำของ Stanford และ Makorsky และ Company ในปี 2002 พบปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์น่าเชื่อถือได้เพิ่มขึ้นดังนี้
1. การเพิ่มคุณค่าให้กับเว็บไซต์ โดยการปรับปรุงสาระให้ทันสมัย ตอบคำถามบนเว็บบอร์ด ส่งอีเมลล์ยืนยัน หรือตอบรับในสิ่งที่จะตกลงกัน มีความสามารถในการช่วยสืบค้น สามารถพิมพ์หน้าออกมาได้ง่าย มีหมายเลขโทรศัพท์หรือเมล์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับติดต่อได้
2. ปกป้องความดีงามของสาระ โดยแยกออกจากโฆษณาอย่างเด่นชัดไม่มีโฆษณามากเกินไป ทั้งลักษณะ banner และ pop-up บทความต้องมีอ้างอิง หรือผู้แต่งเสมอ
3. หน้าตา ดูดี มีลักษณะการออกแบบเป็นมืออาชีพ ใช้ศิลปะอย่างมีรสนิยม เหมาะสมกับสาระ ไม่มีตัวสะกดผิดพลาด เว้นวรรคผิด ๆ นามสกุลของเว็บไซต์ (domain name) ต้องเป็นของสถาบัน ถ้าเป็นของฟรีทั่วไป เช่น Geocities, AOL จะมีความน่าเชื่อถือลดลง
4. ต้องแน่ใจว่าทุกองค์ประกอบทำงานได้ การเชื่อมโยงไม่ได้ การแฮ้งก์หรือหยุดทำงานดื้อๆ ทำให้น่าเบื่อหน่อย เวลาที่ใช้ดาวน์โหลดต้องไม่นานเกินไป ดังนั้นการใส่กราฟฟิกจำนวนมากบนโฮมเพจจึงไม่เป็นการถูกต้อง
5. ชื่อเสียงในโลกความจริงขององค์กรจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ หรือการลิงค์ไปสู่องค์กรเสื่อมเสียย่อมส่งผลต่อเว็บไซต์โดยตรง
ผลงานวิจัยเชิงปริมาณของ Stanford Persuasine Technologylab เป็นการสำรวจชาว Ango Saxon ในอเมริกาและยุโรปไม่รวมชาวเอเชียอย่างเราท่านที่มีวัฒนธรรมต่างกัน ขอเชิญนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์บ้านเรา
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จาก
http://credibility.stanford.edu/
posted by Dr.Supit @ 2:48 AM   0 comments
ปัญหาและวิธีแก้ไข การจัดการศึกษาของชาติ
Wednesday, September 21, 2005
ปัญหาและวิธีแก้ไขการศึกษาจัดการศึกษาของชาติ

รศ.ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์ Ph.D.

การบริหารจัดการศึกษาตามนัยของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2542 แก้ไข พ.ศ. 2545 ในทัศนของกระผมมีจุดอ่อน และ จุดแข็ง และแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นดังนี้

ประเด็นที่ 1 การปฏิรูปการเรียนรู้ ตามมาตรา 22 หมวด 4 กล่าวว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และ เต็มตามศักยภาพ

ลักษณะปัญหาอันเกิดจากการตีความ
ในระดับปฏิบัติการในโรงเรียนต่างๆ ได้รับนโยบายว่าจะต้องสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) ซึ่งเป็นคำลอยๆ ไม่ชัดเจน บอกคุณลักษณะ(attributes) ไม่ได้เลย ดังนั้นจึงบอกองค์ประกอบแต่ละข้อไม่ได้ ทำให้การปฏิบัติเกิดความสับสนจนถึงปัจจุบัน
แนวทางแก้ไข
การสอนแบบ Child Center เป็นการตีความผิดๆ จากมาตรา 22 จริงๆ แล้ว การเรียนรู้นั้นสามารถผ่านวิธีการ(means) ได้หลากหลายรูปแบบในวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การเรียนรู้เกิดในตัวผู้เรียน ปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ เน้นวิธีการ(Child Center) ไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนรู้ (Learning achievement) ในตัวผู้เรียน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม การวัดความรู้ด้วย National Test จึงมีค่าระดับคะแนนค่อนข้างต่ำ
ข้อเท็จจริง การเรียนการสอนมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีอาจเหมาะกับนักเรียนบางระดับ บางวิชา บางท้องถิ่น ไม่สามารถบอกได้ วิธีสอนใดดีที่สุดสำหรับประเทศไทยโดยรวม ตัวอย่างเช่น การสอนแบบให้นักเรียนค้นคว้า แล้วนำมาพูดรายงาน ย่อมไม่เหมาะกับนักเรียนเล็กๆ หรือ นักเรียนที่ใช้ภาษาถิ่นเป็นประจำมีความสามารถในการใช้ภาษากลางน้อยมาก เช่น นักเรียนบนดอย เป็นต้น นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อม ความขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ทำให้การเรียนการสอนวิธีเดียวกัน เป็นไปได้ยากยิ่ง
การแก้ไขการปฏิรูปการเรียนรู้
ควรต้องเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายทางผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่วิธีการเรียนการสอนเป็นหลักอย่างในปัจจุบัน การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นต้องมีความสุขเสมอไป วิธีการสอนบางวิชาอาจต้องท่องจำ ก็ต้องท่องจำ (ตามความจำเป็น) เช่น สูตรคำนวณ สัญลักษณ์เคมี เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การคิดขั้นสูงต่อไป ดังนี้การเรียนรู้ที่ห้ามท่องจำ โดยเฉพาะในขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ในบางรายวิชา เช่นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ต้องให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับธรรมชาติ และ เห็นคุณค่าในทรัพยากรท้องถิ่น วิธีการเช่นนี้ไม่ต้องท่องจำก็อาจเรียนรู้ได้
สรุปได้ว่า การเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ โรงเรียนอันประกอบด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะเรียนรู้ได้ดี โดยใช้ทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ภายใต้การกำกับและช่วยเหลือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ประเด็นที่ 2 การสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา
ตามนัยแห่งมาตรา 26 กล่าวถึงการประเมินผู้เรียนไว้หลายด้าน และ ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสในการเข้าศึกษาต่อ และ ให้นำผลการประเมินเหล่านั้นมาพิจารณาด้วย

ลักษณะปัญหา ระบบการศึกษาไทยมุ่งเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย (Entrance)
ดังนั้น การเรียนการสอนจึงจัด การเรียนเพื่อสอบได้ มากกว่า การเรียนเพื่อรู้จริง
การศึกษาในระบบโรงเรียนจึงมีความหมายเพียงการได้รับประกาศนียบัตร เพื่อมีสิทธิสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น การศึกษานอกรูปแบบ เช่น ภารกิจในสถานติวเตอร์จึงเกิดขึ้นมากมาย นักเรียนต้องใช้เวลาไปติวจึงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยความมั่นใจ อันนำไปสู่ปัญหาการดิ้นรนของนักเรียน ต้องเรียนทั้งสองระบบในตอนเย็น และ วันสุดสัปดาห์ ก่อให้เกิดปัญหาการจราจร ฯลฯ
การจัดสอบ entrance แบบรวมเป็นการมอบดาบอาญาสิทธิ์ไว้ที่คนไม่กี่คน เพื่อตัดสินอนาคตของเยาวชนทั้งชาติ บางคนจึงเข้าใจว่าข้อสอบ entrance เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย
วิธีการแก้ไข
จะต้องยกเลิกการสอบ entrance แบบรวม คืนภาระดังกล่าวนี้ให้กับหมาวิทยาลัย
ทำการคัดเลือกผู้เรียนเอง ตั้งเกณฑ์ และ จัดเครื่องมือวัดเอาเอง ปัจจุบันก็มีการดำเนินการ
อยู่แล้ว และ ได้ผลดี มหาวิทยาลัยเปิด และ มหาวิทยาลัยตลาดวิชา ไม่มีการสอบเข้าก็สามารถผลิตบัณฑิต ที่มีคุณภาพดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบัณฑิตที่สอบผ่านการคัดเลือกแบบ entrance รวม
สาขาวิชาในมหาวิทยาลัยต่างๆ จะทราบดีว่า จะต้องคัดนักเรียนที่มีคุณลักษณะอย่างไร เข้ามาเรียนจึงจะได้บัณฑิตที่มีคุณภาพ จะสร้างเครื่องมือคัดกรองอย่างไร
การตั้งเกณฑ์การรับผู้เรียนในสาขาวิชาเดียวกัน ในแต่ละมหาวิทยาลัยอาจแตกต่างกันได้ เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า ลาดกระบังมีชื่อเสียงมาก อาจตั้งเกณฑ์ไว้สูงมาก ขอนแก่น เชียงใหม่ อาจตั้งเกณฑ์ต่ำลงมา เป็นต้น นักเรียนที่เรียนในระดับมัธยมที่เรียนไม่เก่ง จึงไม่มีโอกาสฟลุ๊ค เข้าเรียนในสถาบัน “แข็ง” โดยให้เลือก 4 ตัวเลือก แล้วสอบตกให้ออก – (Retired)
การสละสิทธิ์ของผู้เรียนที่เลือกเรียนในอันดับรองลงมา ในการสอบแบบรวม(อันดับ 2, 3, 4) ในแต่ละปี ก่อให้เกิดการสูญเปล่ามหาศาลเพียงใด ไม่อาจประเมินค่าได้
ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จึงควรยกเลิก การสอบ entrance รวม โดยด่วนที่สุด ก่อนที่ระบบการศึกษาไทยจะเสียหายมากกว่านี้
แนวทางแก้ไขของรัฐบาล เป็นวิธีการที่ถูกต้อง คือ การยกเลิกสอบเอ็นทรานซ์แบบรวม และ ใช้เกรดเฉลี่ยระดับมัธยมปลายอย่างเดียว ปัญหาที่อาจเกิดจากวิธีการดังกล่าว เช่น ข้อสงสัยในคุณภาพของค่าของคะแนน สามารถกำกับได้โดยการให้โอกาสเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาเท่าเทียมกันมากขึ้น ใช้แบบทดสอบอื่นๆ ประกอบ ฯลฯ
สรุป ควรยกเลิกการสอบ entrance แบบรวมให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้เพราะประเทศไทยเสียหามามากแล้ว

ประเด็นที่ 3 การจัดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานตามนัย มาตรา 27
กล่าวถึง หน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องจัดทั้งหลักสูตรสถานศึกษา ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ลักษณะปัญหา
การดำเนินการดังกล่าวเนื่องจากเป็นระยะเริ่มต้น โรงเรียนหลายแห่งยังไม่สามารถจัดหลักสูตรร้อยละ 30 เป็นของตนเองได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจมีสาเหตุจาก
ก. ความไม่พร้อมหลายๆ ด้าน
ข. การคัดลอกหลักสูตรจากที่อื่นๆ โดยเฉพาะหลักสูตรเดิม ปลอดภัย ใช่ผิด
แนวทางแก้ไข
การได้สิทธิ์จัดหลักสูตรร้อยละ 30 ของโรงเรียน ต้องนับว่าเป็นโชคลาภอันมหาศาล ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องสื่อสารกับโรงเรียนให้ชัดเจนว่า คะแนนส่วนใดที่จะนำไปวัดในระดับชาติ คะแนนส่วนใดโรงเรียนต้องรับผิดชอบ และจัดสรรโอกาสทางการเรียน ในส่วนร้อยละ 70 ให้เสมอภาคจริงๆ เช่น มีสาระที่ชัดเจนไว้บน Web ให้ทุกคน Download ได้ ข้อสอบ NT ออกตามนี้ เป็นต้น
สำหรับหลักสูตรร้อยละ 30 ต้องนับว่าเป็นหลักสูตรกู้ชาติ เป็นการคืนอำนาจการคิด เพื่อให้การศึกษาจากระบบรากหญ้าอย่างแท้จริง โรงเรียนจะได้ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างเต็มที่ สอนให้นักเรียนรู้จักทรัพยากร ดิน น้ำ อากาศ บุคคลในท้องถิ่น ใช้ประโยชน์ได้ และ เยาวชนจะรักท้องถิ่น
กิจกรรมในโรงเรียน เช่นนี้ จะนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น อันจะเป็นการสานแนวคิดเข้ากับโครงการระดับชาติ เช่น OTOP. การรักษาทรัพยากร ฯบฯ
สรุป สถานศึกษาขั้นพื้นฐานต้องจัดทำหลักสูตรดังกล่าวอย่างเป็นอิสระ และ เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง จะทำให้เยาวชนรัก และ หวงแหนท้องถิ่นมากขึ้น
ประเด็นที่ 4 ปัญหาเชิงบริหารจัดการ การเลื่อนตำแหน่ง

ลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ถึงการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 8 เชิงประจักษ์ คะแนนเต็ม 500 คะแนน
ก. 420 คะแนน ประเมินจากการปฏิบัติจริง
ข. 80 คะแนน ประเมินจากงานเอกสาร

จะเห็นได้ว่าค่าคะแนน 420 คะแนน เป็นการประเมินจากการปฏิบัติจริง ซึ่งต้องประเมินย้อนหลังอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะถ้าไม่ผ่านการประเมินด้านเอกสาร (ซึ่งคุณภาพงานเอกสารมิอาจประเมินได้เลย) จะไม่ได้รับการประเมิน (ข.) เลย
แสดงว่าขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญ กับงานเอกสาร (ข.) ซึ่งมีค่าคะแนนเพียง 80 สูงกว่า งานภาคปฏิบัติ ค่าคะแนน 420 ??? สิ่งที่ซ่อนอยู่ในปัญหานี้คือ ครูที่ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนดี อาจมีเวลาเขียนเอกสารน้อย หรือ ครูสอนดีขาดทุนทรัพย์เตรียมเอกสาร ทำให้เอกสารหน้าตาไม่ดี อาจไม่ผ่านการประเมินครั้งนี้
แนวทางแก้ไข
การประเมินเชิงประจักษ์ หมายถึง การประเมินจากสิ่งที่ครูปฏิบัติอยู่จริง เป็นเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นผู้ที่สมควรจะเป็นผู้ประเมิน และ ตัดสินอนาคตวิชาชีพของครู ผู้นั้นจึงควรให้ครูเป็นกรรมการสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการควรคืนอำนาจส่วนนี้ให้กับโรงเรียนทั้งหมด การประเมินครูโดยกรรมการสถานศึกษา อันประกอบด้วยหัวหน้าสถานศึกษา เป็นเลขานุการโดยตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่น รวมทั้งพระสงฆ์ จะเป็นองค์การที่น่าเชื่อถือที่สุด
ข้อเสนอแนะ
การจัดลำดับขั้นยศ (ซี) ของครู ควรจัดแยกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท สายบริหาร ให้มีอำนาจในการบังคับบัญชาครูในสายวิชาการที่มีซีสูงกว่าได้ สามารถเสนอแต่งตั้งครูสายวิชาการในตำแหน่งซีต่ำกว่าตนเองได้

ประเด็นที่ 5 การโอนสถานศึกษาภาคบังคับให้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ลักษณะปัญหา ยังขาดระเบียบ กฎหมาย รองรับการถ่ายโอนที่ชัดเจน การถ่ายโอนจะต้องเสร็จสิ้นภายในปี 2552
โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองเช่น กรุงเทพมหานคร ในตัวจังหวัด มีปัญหาในการถ่ายโอนน้อยกว่าโรงเรียนที่จะต้องโอนไปสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบล ครูขาดความมั่นใจในสถานะภาพของตนเองหลังจากโอนเข้าสังกัด องค์กรปกครองส่นท้องถิ่น
องค์การบริหารส่วนตำบลส่วนมากขาดความพร้อมในการรับโอนสถานศึกษา ขาดแคลนบุคลากร และการคิดทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
แนวทางแก้ไข
ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนโดยเน้น2ประเด็นคือ
1.ยืดเวลาการถ่ายโอนออกไปเป็นปี2558
2.ระยะเวลาจากปี2548เป็นต้นไปผู้บรรจุเข้าทำงานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีสถานภาพเป็น “พนักงานสถานศึกษา” ได้รับเงินเดือนสูงกว่าข้าราชการประมาณ 1.5เท่า ไม่ใช่ข้าราชการ
3.รัฐจัดงบประมาณเน้นการจัดการศึกษาให้แก่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความพร้อมรับโอนสถานศึกษา เช่น ได้รับบรรจุ”พนักงานสถานศึกษา”หลากหลายระดับ เพื่อมาเปิดสถานศึกษาส่วนท้องถิ่น
4.ในที่สุดแล้วการโอน จะกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะทุกคนจะมีสถานะ”พนักงานสถานศึกษา”เหมือนกัน

บทสรุปโดยรวม
การประเมินผลการจัดการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา ใช้วัดการเสี่ยงส่วนเดียว เช่น ข้อสอบ National Test พบว่าผลสัมฤทธิ์ของการเรียนของนักเรียนไทยต่ำมาก แม้แต่วิชาภาษาไทย คำถามสำหรับนักการศึกษาไทย คือ ท่านคิดว่าเป็นปัญหาที่สำคัญเพียงใด เพราะปรัชญาการศึกษาของเรายึดว่าให้นักเรียน เก่ง ดี มีสุข เรียนโดยเน้นวิชาการ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่าการเน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ถ้าจะต้องร้อนใจก็เพราะเราต้องเทียบตนเองกับโลก และ นักเรียนในประเทศอื่นๆ ในทุกๆ วิชา เราต้องแข่งขันกับโลก ดังนั้น เราจึงต้องเร่งสร้างหลักสูตรร้อยละ 30 ให้เกิดโดยเร็ว ให้นักเรียนรู้ เห็นคุณค่า และรักหวงแหนความเป็นไทยถิ่น และหลักสูตรร้อยละ 70 เน้นการสอน โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เพื่อการแข่งขันกับคนอื่นในโลกได้
ควรให้มหาวิทยาลัยทำการคัดเลือกนักศึกษาเองตั้งเกณฑ์เองทั้งหมด ยกเลิกการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแบบรวมศูนย์ สำนักงานการอุดมศึกษาควรปฎิบัติงานนโยบายเชิงคุณภาพและปริมาณของบัณฑิต ไม่ใช่ลงมาส่งเสริมค่านิยมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นงานที่ไม่ใช้วิสัยทัศน์อะไรเลยจนกลายเป็นยุทธศาสตร์ ด้านอุดมศึกษาของชาติไปแล้ว
ถ้ารัฐหวังดีและมีแผนโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจริง ควรขยายเวลาเพิ่มทรัพยากรเพื่อให้องค์การเหล่านี้ได้พิสูจน์ตนเองว่ามีความสามารถบริหารจัดการสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียก่อน

*รศ.ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์
Ph.D. University of Missouri –Columbia U.S.A.
@อาจารย์ประจำ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
@ นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา
























posted by Dr.Supit @ 3:23 PM   0 comments
About Me

Name: Dr.Supit
Home: Bangkok, Thailand
About Me: I am an Educating Educator!
See my complete profile
Previous Post
Archives
Links
Powered by

Free Blogger Templates

BLOGGER

© Education Unlimited Template by Isnaini Dot Com