Education Unlimited

 
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
ปัญหาและวิธีแก้ไข การจัดการศึกษาของชาติ
Wednesday, September 21, 2005
ปัญหาและวิธีแก้ไขการศึกษาจัดการศึกษาของชาติ

รศ.ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์ Ph.D.

การบริหารจัดการศึกษาตามนัยของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2542 แก้ไข พ.ศ. 2545 ในทัศนของกระผมมีจุดอ่อน และ จุดแข็ง และแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นดังนี้

ประเด็นที่ 1 การปฏิรูปการเรียนรู้ ตามมาตรา 22 หมวด 4 กล่าวว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และ เต็มตามศักยภาพ

ลักษณะปัญหาอันเกิดจากการตีความ
ในระดับปฏิบัติการในโรงเรียนต่างๆ ได้รับนโยบายว่าจะต้องสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) ซึ่งเป็นคำลอยๆ ไม่ชัดเจน บอกคุณลักษณะ(attributes) ไม่ได้เลย ดังนั้นจึงบอกองค์ประกอบแต่ละข้อไม่ได้ ทำให้การปฏิบัติเกิดความสับสนจนถึงปัจจุบัน
แนวทางแก้ไข
การสอนแบบ Child Center เป็นการตีความผิดๆ จากมาตรา 22 จริงๆ แล้ว การเรียนรู้นั้นสามารถผ่านวิธีการ(means) ได้หลากหลายรูปแบบในวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การเรียนรู้เกิดในตัวผู้เรียน ปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ เน้นวิธีการ(Child Center) ไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนรู้ (Learning achievement) ในตัวผู้เรียน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม การวัดความรู้ด้วย National Test จึงมีค่าระดับคะแนนค่อนข้างต่ำ
ข้อเท็จจริง การเรียนการสอนมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีอาจเหมาะกับนักเรียนบางระดับ บางวิชา บางท้องถิ่น ไม่สามารถบอกได้ วิธีสอนใดดีที่สุดสำหรับประเทศไทยโดยรวม ตัวอย่างเช่น การสอนแบบให้นักเรียนค้นคว้า แล้วนำมาพูดรายงาน ย่อมไม่เหมาะกับนักเรียนเล็กๆ หรือ นักเรียนที่ใช้ภาษาถิ่นเป็นประจำมีความสามารถในการใช้ภาษากลางน้อยมาก เช่น นักเรียนบนดอย เป็นต้น นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อม ความขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ทำให้การเรียนการสอนวิธีเดียวกัน เป็นไปได้ยากยิ่ง
การแก้ไขการปฏิรูปการเรียนรู้
ควรต้องเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายทางผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่วิธีการเรียนการสอนเป็นหลักอย่างในปัจจุบัน การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นต้องมีความสุขเสมอไป วิธีการสอนบางวิชาอาจต้องท่องจำ ก็ต้องท่องจำ (ตามความจำเป็น) เช่น สูตรคำนวณ สัญลักษณ์เคมี เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การคิดขั้นสูงต่อไป ดังนี้การเรียนรู้ที่ห้ามท่องจำ โดยเฉพาะในขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ในบางรายวิชา เช่นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ต้องให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับธรรมชาติ และ เห็นคุณค่าในทรัพยากรท้องถิ่น วิธีการเช่นนี้ไม่ต้องท่องจำก็อาจเรียนรู้ได้
สรุปได้ว่า การเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ โรงเรียนอันประกอบด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะเรียนรู้ได้ดี โดยใช้ทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ภายใต้การกำกับและช่วยเหลือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ประเด็นที่ 2 การสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา
ตามนัยแห่งมาตรา 26 กล่าวถึงการประเมินผู้เรียนไว้หลายด้าน และ ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสในการเข้าศึกษาต่อ และ ให้นำผลการประเมินเหล่านั้นมาพิจารณาด้วย

ลักษณะปัญหา ระบบการศึกษาไทยมุ่งเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย (Entrance)
ดังนั้น การเรียนการสอนจึงจัด การเรียนเพื่อสอบได้ มากกว่า การเรียนเพื่อรู้จริง
การศึกษาในระบบโรงเรียนจึงมีความหมายเพียงการได้รับประกาศนียบัตร เพื่อมีสิทธิสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น การศึกษานอกรูปแบบ เช่น ภารกิจในสถานติวเตอร์จึงเกิดขึ้นมากมาย นักเรียนต้องใช้เวลาไปติวจึงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยความมั่นใจ อันนำไปสู่ปัญหาการดิ้นรนของนักเรียน ต้องเรียนทั้งสองระบบในตอนเย็น และ วันสุดสัปดาห์ ก่อให้เกิดปัญหาการจราจร ฯลฯ
การจัดสอบ entrance แบบรวมเป็นการมอบดาบอาญาสิทธิ์ไว้ที่คนไม่กี่คน เพื่อตัดสินอนาคตของเยาวชนทั้งชาติ บางคนจึงเข้าใจว่าข้อสอบ entrance เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย
วิธีการแก้ไข
จะต้องยกเลิกการสอบ entrance แบบรวม คืนภาระดังกล่าวนี้ให้กับหมาวิทยาลัย
ทำการคัดเลือกผู้เรียนเอง ตั้งเกณฑ์ และ จัดเครื่องมือวัดเอาเอง ปัจจุบันก็มีการดำเนินการ
อยู่แล้ว และ ได้ผลดี มหาวิทยาลัยเปิด และ มหาวิทยาลัยตลาดวิชา ไม่มีการสอบเข้าก็สามารถผลิตบัณฑิต ที่มีคุณภาพดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบัณฑิตที่สอบผ่านการคัดเลือกแบบ entrance รวม
สาขาวิชาในมหาวิทยาลัยต่างๆ จะทราบดีว่า จะต้องคัดนักเรียนที่มีคุณลักษณะอย่างไร เข้ามาเรียนจึงจะได้บัณฑิตที่มีคุณภาพ จะสร้างเครื่องมือคัดกรองอย่างไร
การตั้งเกณฑ์การรับผู้เรียนในสาขาวิชาเดียวกัน ในแต่ละมหาวิทยาลัยอาจแตกต่างกันได้ เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า ลาดกระบังมีชื่อเสียงมาก อาจตั้งเกณฑ์ไว้สูงมาก ขอนแก่น เชียงใหม่ อาจตั้งเกณฑ์ต่ำลงมา เป็นต้น นักเรียนที่เรียนในระดับมัธยมที่เรียนไม่เก่ง จึงไม่มีโอกาสฟลุ๊ค เข้าเรียนในสถาบัน “แข็ง” โดยให้เลือก 4 ตัวเลือก แล้วสอบตกให้ออก – (Retired)
การสละสิทธิ์ของผู้เรียนที่เลือกเรียนในอันดับรองลงมา ในการสอบแบบรวม(อันดับ 2, 3, 4) ในแต่ละปี ก่อให้เกิดการสูญเปล่ามหาศาลเพียงใด ไม่อาจประเมินค่าได้
ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จึงควรยกเลิก การสอบ entrance รวม โดยด่วนที่สุด ก่อนที่ระบบการศึกษาไทยจะเสียหายมากกว่านี้
แนวทางแก้ไขของรัฐบาล เป็นวิธีการที่ถูกต้อง คือ การยกเลิกสอบเอ็นทรานซ์แบบรวม และ ใช้เกรดเฉลี่ยระดับมัธยมปลายอย่างเดียว ปัญหาที่อาจเกิดจากวิธีการดังกล่าว เช่น ข้อสงสัยในคุณภาพของค่าของคะแนน สามารถกำกับได้โดยการให้โอกาสเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาเท่าเทียมกันมากขึ้น ใช้แบบทดสอบอื่นๆ ประกอบ ฯลฯ
สรุป ควรยกเลิกการสอบ entrance แบบรวมให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้เพราะประเทศไทยเสียหามามากแล้ว

ประเด็นที่ 3 การจัดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานตามนัย มาตรา 27
กล่าวถึง หน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องจัดทั้งหลักสูตรสถานศึกษา ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ลักษณะปัญหา
การดำเนินการดังกล่าวเนื่องจากเป็นระยะเริ่มต้น โรงเรียนหลายแห่งยังไม่สามารถจัดหลักสูตรร้อยละ 30 เป็นของตนเองได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจมีสาเหตุจาก
ก. ความไม่พร้อมหลายๆ ด้าน
ข. การคัดลอกหลักสูตรจากที่อื่นๆ โดยเฉพาะหลักสูตรเดิม ปลอดภัย ใช่ผิด
แนวทางแก้ไข
การได้สิทธิ์จัดหลักสูตรร้อยละ 30 ของโรงเรียน ต้องนับว่าเป็นโชคลาภอันมหาศาล ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องสื่อสารกับโรงเรียนให้ชัดเจนว่า คะแนนส่วนใดที่จะนำไปวัดในระดับชาติ คะแนนส่วนใดโรงเรียนต้องรับผิดชอบ และจัดสรรโอกาสทางการเรียน ในส่วนร้อยละ 70 ให้เสมอภาคจริงๆ เช่น มีสาระที่ชัดเจนไว้บน Web ให้ทุกคน Download ได้ ข้อสอบ NT ออกตามนี้ เป็นต้น
สำหรับหลักสูตรร้อยละ 30 ต้องนับว่าเป็นหลักสูตรกู้ชาติ เป็นการคืนอำนาจการคิด เพื่อให้การศึกษาจากระบบรากหญ้าอย่างแท้จริง โรงเรียนจะได้ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างเต็มที่ สอนให้นักเรียนรู้จักทรัพยากร ดิน น้ำ อากาศ บุคคลในท้องถิ่น ใช้ประโยชน์ได้ และ เยาวชนจะรักท้องถิ่น
กิจกรรมในโรงเรียน เช่นนี้ จะนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น อันจะเป็นการสานแนวคิดเข้ากับโครงการระดับชาติ เช่น OTOP. การรักษาทรัพยากร ฯบฯ
สรุป สถานศึกษาขั้นพื้นฐานต้องจัดทำหลักสูตรดังกล่าวอย่างเป็นอิสระ และ เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง จะทำให้เยาวชนรัก และ หวงแหนท้องถิ่นมากขึ้น
ประเด็นที่ 4 ปัญหาเชิงบริหารจัดการ การเลื่อนตำแหน่ง

ลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ถึงการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 8 เชิงประจักษ์ คะแนนเต็ม 500 คะแนน
ก. 420 คะแนน ประเมินจากการปฏิบัติจริง
ข. 80 คะแนน ประเมินจากงานเอกสาร

จะเห็นได้ว่าค่าคะแนน 420 คะแนน เป็นการประเมินจากการปฏิบัติจริง ซึ่งต้องประเมินย้อนหลังอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะถ้าไม่ผ่านการประเมินด้านเอกสาร (ซึ่งคุณภาพงานเอกสารมิอาจประเมินได้เลย) จะไม่ได้รับการประเมิน (ข.) เลย
แสดงว่าขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญ กับงานเอกสาร (ข.) ซึ่งมีค่าคะแนนเพียง 80 สูงกว่า งานภาคปฏิบัติ ค่าคะแนน 420 ??? สิ่งที่ซ่อนอยู่ในปัญหานี้คือ ครูที่ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนดี อาจมีเวลาเขียนเอกสารน้อย หรือ ครูสอนดีขาดทุนทรัพย์เตรียมเอกสาร ทำให้เอกสารหน้าตาไม่ดี อาจไม่ผ่านการประเมินครั้งนี้
แนวทางแก้ไข
การประเมินเชิงประจักษ์ หมายถึง การประเมินจากสิ่งที่ครูปฏิบัติอยู่จริง เป็นเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นผู้ที่สมควรจะเป็นผู้ประเมิน และ ตัดสินอนาคตวิชาชีพของครู ผู้นั้นจึงควรให้ครูเป็นกรรมการสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการควรคืนอำนาจส่วนนี้ให้กับโรงเรียนทั้งหมด การประเมินครูโดยกรรมการสถานศึกษา อันประกอบด้วยหัวหน้าสถานศึกษา เป็นเลขานุการโดยตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่น รวมทั้งพระสงฆ์ จะเป็นองค์การที่น่าเชื่อถือที่สุด
ข้อเสนอแนะ
การจัดลำดับขั้นยศ (ซี) ของครู ควรจัดแยกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท สายบริหาร ให้มีอำนาจในการบังคับบัญชาครูในสายวิชาการที่มีซีสูงกว่าได้ สามารถเสนอแต่งตั้งครูสายวิชาการในตำแหน่งซีต่ำกว่าตนเองได้

ประเด็นที่ 5 การโอนสถานศึกษาภาคบังคับให้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ลักษณะปัญหา ยังขาดระเบียบ กฎหมาย รองรับการถ่ายโอนที่ชัดเจน การถ่ายโอนจะต้องเสร็จสิ้นภายในปี 2552
โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองเช่น กรุงเทพมหานคร ในตัวจังหวัด มีปัญหาในการถ่ายโอนน้อยกว่าโรงเรียนที่จะต้องโอนไปสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบล ครูขาดความมั่นใจในสถานะภาพของตนเองหลังจากโอนเข้าสังกัด องค์กรปกครองส่นท้องถิ่น
องค์การบริหารส่วนตำบลส่วนมากขาดความพร้อมในการรับโอนสถานศึกษา ขาดแคลนบุคลากร และการคิดทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
แนวทางแก้ไข
ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนโดยเน้น2ประเด็นคือ
1.ยืดเวลาการถ่ายโอนออกไปเป็นปี2558
2.ระยะเวลาจากปี2548เป็นต้นไปผู้บรรจุเข้าทำงานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีสถานภาพเป็น “พนักงานสถานศึกษา” ได้รับเงินเดือนสูงกว่าข้าราชการประมาณ 1.5เท่า ไม่ใช่ข้าราชการ
3.รัฐจัดงบประมาณเน้นการจัดการศึกษาให้แก่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความพร้อมรับโอนสถานศึกษา เช่น ได้รับบรรจุ”พนักงานสถานศึกษา”หลากหลายระดับ เพื่อมาเปิดสถานศึกษาส่วนท้องถิ่น
4.ในที่สุดแล้วการโอน จะกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะทุกคนจะมีสถานะ”พนักงานสถานศึกษา”เหมือนกัน

บทสรุปโดยรวม
การประเมินผลการจัดการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา ใช้วัดการเสี่ยงส่วนเดียว เช่น ข้อสอบ National Test พบว่าผลสัมฤทธิ์ของการเรียนของนักเรียนไทยต่ำมาก แม้แต่วิชาภาษาไทย คำถามสำหรับนักการศึกษาไทย คือ ท่านคิดว่าเป็นปัญหาที่สำคัญเพียงใด เพราะปรัชญาการศึกษาของเรายึดว่าให้นักเรียน เก่ง ดี มีสุข เรียนโดยเน้นวิชาการ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่าการเน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ถ้าจะต้องร้อนใจก็เพราะเราต้องเทียบตนเองกับโลก และ นักเรียนในประเทศอื่นๆ ในทุกๆ วิชา เราต้องแข่งขันกับโลก ดังนั้น เราจึงต้องเร่งสร้างหลักสูตรร้อยละ 30 ให้เกิดโดยเร็ว ให้นักเรียนรู้ เห็นคุณค่า และรักหวงแหนความเป็นไทยถิ่น และหลักสูตรร้อยละ 70 เน้นการสอน โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เพื่อการแข่งขันกับคนอื่นในโลกได้
ควรให้มหาวิทยาลัยทำการคัดเลือกนักศึกษาเองตั้งเกณฑ์เองทั้งหมด ยกเลิกการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแบบรวมศูนย์ สำนักงานการอุดมศึกษาควรปฎิบัติงานนโยบายเชิงคุณภาพและปริมาณของบัณฑิต ไม่ใช่ลงมาส่งเสริมค่านิยมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นงานที่ไม่ใช้วิสัยทัศน์อะไรเลยจนกลายเป็นยุทธศาสตร์ ด้านอุดมศึกษาของชาติไปแล้ว
ถ้ารัฐหวังดีและมีแผนโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจริง ควรขยายเวลาเพิ่มทรัพยากรเพื่อให้องค์การเหล่านี้ได้พิสูจน์ตนเองว่ามีความสามารถบริหารจัดการสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียก่อน

*รศ.ดร.สุพิทย์ กาญจนพันธุ์
Ph.D. University of Missouri –Columbia U.S.A.
@อาจารย์ประจำ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
@ นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา
























posted by Dr.Supit @ 3:23 PM  
0 Comments:
Post a Comment
<< Home
 
About Me

Name: Dr.Supit
Home: Bangkok, Thailand
About Me: I am an Educating Educator!
See my complete profile
Previous Post
Archives
Links
Powered by

Free Blogger Templates

BLOGGER

© Education Unlimited Template by Isnaini Dot Com