Education Unlimited

 
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Homeworks posting for 25 Aug,1,8 Sept
Tuesday, August 28, 2007

Ladkrabang edtech 14,Please post your homeworks by click on comments
posted by Dr.Supit @ 10:27 PM  
27 Comments:
  • At 10:59 PM, Blogger faridapromtes07 said…

    ย่อ 10 ข้อบกพร่อง

    ทศวิบัติของการจัดการความรู้ในหน่วยราชการ
    วิจารณ์ พานิช
    ในบทความเรื่อง “ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ” ได้เสนอข้อปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับพัฒนาหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้
    สำหรับบทความเรื่อง “ทศวิบัติของการจัดการความรู้ในหน่วยราชการ” นี้ จะเสนอการปฏิบัติ 10 ประการที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อผลสำเร็จในการดำเนินการจัดการความรู้ เน้นที่การปฏิบัติที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในหน่วยราชการ และเชื่อว่าองค์การอื่นๆ ที่ไม่ใช่ราชการ ก็อาจได้ประโยชน์ หากหมั่นตรวจสอบ และ “กำจัดจุดอ่อน” เหล่านี้เสีย
    วิบัติที่ 1 ภาวะผู้นำที่พิการหรือบิดเบี้ยว
    มีการปฏิบัติของผู้นำระดับสูงขององค์การหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดการความรู้ ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
    -ไม่รู้จักและไม่สนใจการจัดการความรู้
    -ไม่สนับสนุนหรือสนับสนุนแบบไม่จริงใจ
    -ถือประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนองค์การ
    -มีการแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้บริหารระดับสูง หรือไม่สามัคคีกัน
    วิบัติที่ 2 วัฒนธรรมอำนาจ
    องค์การที่อยู่ใต้วัฒนธรรมอำนาจ (top – down, command and control) จะมีลักษณะ
    -บุคลากรแสดงความเคารพยำเกรง จงรักภักดีต่อ “นาย” ที่เอื้อประโยชน์แก่ตนได้ และทำงานเพื่อสนอง “นโยบาย” ของ “นาย” เป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายหลักขององค์การ
    -องค์การมีลักษณะเป็น “แท่งอำนาจ” หลาย ๆ แท่งอยู่ด้วยกันในลักษณะแท่งใครแท่งมัน
    วิบัติที่ 3 ไม่ให้คุณค่าต่อความแตกต่างหลากหลาย
    คนที่ทำงานร่วมกันจะต้องมีความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ว่าระหว่าง ผู้ที่อาวุโสกว่ากับผู้อาวุโสต่ำกว่า และระหว่างผู้มีภาระรับผิดชอบในระดับเดียวกัน แต่การมีวิธีคิดหรือมีความเห็นแตกต่างกัน ต้องไม่ถือเป็นการไม่เคารพหรือกระด้างกระเดื่อง
    วิบัติที่ 4 ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีทำงานใหม่ ๆ
    ผู้ที่หาวิธีทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อให้งานมีคุณภาพสูงขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติผิดกฎระเบียบ อาจไม่เป็นที่ชอบใจของเพื่อน ๆ หรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้บังคับบัญชา
    วิบัติที่ 5 ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก
    หน่วยราชการอยู่ในสภาพ “ไม่มีวันเจ๊ง” จึงไม่คุ้นเคยกับการขวนขวายปรับตัว ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ในเวลานี้รัฐบาลได้ใส่เงื่อนไขต่าง ๆ เข้าไปกระตุ้นให้หน่วยราชการและข้าราชการต้องตื่นตัว ทำงานในลักษณะที่จะต้อง “รับมือ” ต่อการเปลี่ยนแปลงหรือแรงบีบคั้นจากภายนอก การกำหนดให้หน่วยราชการต้องดำเนินการจัดการความรู้และพัฒนาไปเป็นองค์การเรียนรู้ ก็เป็นการสร้างเงื่อนไขอย่างหนึ่ง
    วิบัติที่ 6 ไม่คิดพึ่งตนเองในด้านความรู้
    หน่วยราชการส่วนใหญ่จึงถือว่าตนเองเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ “หน่วยสร้างความรู้” เพราะคิดว่าหน่วยสร้างความรู้คือหน่วยวิชาการ จึงขาดทั้งแนวความคิดและทักษะในการสร้างความรู้ขึ้นใช้เองในงานของตน ข้าราชการที่อยู่ในสภาพนี้นาน ๆ ก็จะ “เป็นง่อยทางปัญญา” คำว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาปฏิบัติ คือปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติงาน และใช้สำหรับปฏิบัติงาน เป็น “ปัญญารวมหมู่” (collective wisdom) คือ มาจากการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ แต่จะเกิดการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่ข้าราชการในหน่วยงานเดียวกัน จะต้องมีความคิดร่วมกันในการพึ่งตนเองด้านความรู้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง
    วิบัติที่ 7 ไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในการทำงานบางส่วน
    การปฏิบัติราชการเป็นการทำงานในลักษณะที่ “ชัดเจนตายตัว” ตามกฎเกณฑ์รูปแบบที่กำหนด การทำงานในแนวทางเช่นนี้จึงเป็นการทำงานที่เอาตัวผู้ให้บริการเป็นตัวตั้งหรือเป็นศูนย์กลาง ผู้รับบริการ (หรือลูกค้า) ต้องอนุโลมตามผู้ให้บริการ
    แต่งานบริการสมัยใหม่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ผู้ให้บริการจะต้องบริการ “ตามความพึงพอใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ” ซึ่งจะไม่อยู่ในสภาพที่ตายตัว ความเข้าใจเรื่องราวตามความพึงพอใจของผู้ใช้บริการก็ไม่ชัดเจนในทุกเรื่อง เมื่อเข้าใจไม่ชัดเจน ความรู้ไม่พอ ก็ต้องสร้างความรู้ขึ้นใช้
    วิบัติที่ 8 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้แทรกเป็นเนื้อเดียวกับงานประจำ ทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเป็นงานที่เพิ่มขึ้น
    บางองค์การมอบความรับผิดชอบต่อการจัดการความรู้ไว้ที่หน่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคล บางองค์การมอบไว้ที่หน่วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การมอบความรับผิดชอบระบบจัดการความรู้ไว้กับหน่วยใดหน่วยหนึ่งใน ๒ หน่วยนี้ มีความเสี่ยงที่การดำเนินการจัดการความรู้จะแยกออกจากเนื้องาน ทำให้การจัดการความรู้กลายเป็นเนื้องานหรือภาระงานเสียเอง ผู้ปฏิบัติงานจะต่อต้าน หรือไม่เต็มใจทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นการเพิ่มงาน แล้วในที่สุดการจัดการความรู้จะล้มเหลว
    วิบัติที่ 9 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เป้าหมายหลักขององค์การ
    เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้ดูแลระบบจัดการความรู้ (CKO – Chief Knowledge Officer) ไม่ได้ดูแลให้เป้าหมายของการจัดการความรู้พุ่งไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ
    วิบัติที่ 10 ไม่มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่ทุกคนในหน่วยงานสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
    กิจกรรมที่สำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการความรู้คือ “การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้”

     
  • At 11:00 PM, Blogger faridapromtes07 said…

    ย่อ การจัดการความรู้

    การจัดการความรู้
    Knowledge Management-KM
    เรียกย่อๆ ว่า KM คือ เครื่องมือ เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
    แรงจูงใจในการริเริ่มการจัดการความรู้
    แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน และองค์กร เป็นเงื่อนไขสำคัญ ในระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้
    แรงจูงใจเทียมต่อการดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ เป็นต้นเหตุที่นำไปสู่การทำการจัดการความรู้แบบเทียม และนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด
    ประเภทความรู้
    ความรู้อาจแบ่งใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
    ๑. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ วิชาการ อยู่ในตำรา คู่มือปฏิบัติงาน
    ๒. ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน เป็นภูมิปัญญา
    โดย
    คนสำคัญที่ดำเนินการจัดการความรู้
    ๑.๑. ผู้บริหารสูงสุด (CEO)
    ๒. คุณเอื้อ (Chief Knowledge Officer-CKO)คุณเอื้อ” คือ การหา “คุณอำนวย” และร่วมกับ “คุณอำนวย” จัดให้มีการกำหนด “เป้าหมาย/ หัวปลา” ในระดับย่อยๆ ของ “คุณกิจ/ ผู้ปฏิบัติงาน”, คอยเชื่อมโยง “หัวปลา” เข้ากับ วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ขององค์กร, จัดบรรยากาศแนวราบ และการบริหารงานแบบเอื้ออำนาจ (empowerment), ร่วม share ทักษะในการเรียนรู้
    ๓. คุณอำนวย (Knowledge Facilitator-KF)
    เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้
    ๔. คุณกิจ (Knowledge Practitioner-a KP)
    “คุณกิจ” หรือผู้ปฏิบัติงาน เป็นพระเอก หรือนางเอกตัวจริงของการจัดการความรู้ เพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ประมาณร้อยละ ๙๐ – ๙๕ ของทั้งหมด
    ๕. คุณประสาน (Network Manager)
    เป็นผู้ที่คอยประสานเชื่อมโยงเครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวงที่กว้างขึ้น เกิดพลังร่วมมือทางเครือข่ายในการเรียนรู้และยกระดับความรู้แบบทวีคูณ

     
  • At 2:55 AM, Blogger napamon said…

    การจัดการความรู้ Knowledge Management
    โดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด
    ระดับของความรู้ - know what/why ,know how , show how , Do/perform
    ประโยชน์ของkm
    ใช้แก้ปัญหานำมาปรับปรุงและมุ่งสร้างนวัตกรรม
    ประเภทของความรู้
    ความรู้ฝังลึก : ความรู้บันทึกได้ ความรู้ซ่อนเร้น : ความรู้เห็นชัด
    ความรู้ปฏิบัติ : ความรู้ปริยัติ ภูมิปัญญา :วิชาการ
    ความรู้มีการหมุนเวียนเคลื่อนที่
    TacitExplicitExplicitacit
    ปัจจัยที่ทำให้ความรู้งอกเงย (3 C’s)
    Connected ต้องเชื่อมโยง
    Communties เป็นโครงข่าย (ชุมชน)
    Collaboration ให้ความร่วมมือ
    การจัดการความรู้ต้องทำควบคู่ไปกับการจัดการ ความไม่รู้(การพัฒนาปัญญา)
    เพื่อไม่ให้เกิดกรณี ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ปัญญา : ความรู้
    ความรู้ที่ได้จากการอ่านตำรา : ปัญญาต้องมาจากการอ่านตัวเอง
    ความรู้(ที่อยู่ในตัวคน)จัดการไม่ได้ ต้องใช้ภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำพัฒนาได้ยากถ้าปราศจากปัญญา
    เมตตา-กรุณา-มุฑิตา เป็นพลังที่มาจากการให้ ซึ่งการให้ คือความสุขที่แท้จริงเป็นความสุขที่เราควบคุมได้ไม่เหมือนกับการรับ เราควบคุมไม่ได้ การให้ที่แท้ไม่ต้องมีเงื่อนไข การให้ไม่ต้องใช้เหตุผลการให้ที่ยิ่งใหญ่คือการให้อภัย “ให้อภัย ใจว่าง สร้างปัญญา”
    ปัญญา คือการเห็นโดยปราศจากตัวกรอง การเห็นการคิดการกระทำ
    วิถีทางชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่สวยงานและมีอิสระ แต่เราก็พากันดินหลงทาง ความละโมภที่ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ทำลายวิญญาณของคนมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราต้องเกลียดชังซึ่งกันและกันและมันทำให้เราพบกับความทุกข์ทรมาน การนองเลือดเราพัฒนาทุกสิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่เราก็ได้พากันขังตัวเองไว้กับความเจริญนั้น
    เราใช้ความคิดมาก ในขณะที่ใช้ความรู้สึกน้อยเกินไป ความรู้ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่เคยปราณีต่อใคร

     
  • At 8:12 AM, Blogger lukchai.waitum said…

    เรื่อง 'กูเกิ้ล เอิร์ธ'เปิดให้บริการชมภาพถ่ายจักรวาล

    เรื่องย่อ
    'กูเกิ้ล'เปิดบริการใหม่ สามารถดาวโหลดภาพจักรวาลดูได้ เชื่อเป็นแรงกระตุ้นให้คนสนใจจักรวาลมากขึ้น
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สเตฟาน กูเชล โฆษกของ"กูเกิ้ล" จากสำนักงานในนครฮัมบรู๊คของเนอรมนีแถลงว่า กูเกิ้ลได้เปิดให้บริการใหม่ ในส่วนที่มีชื่อว่า"สกาย" หรือ"ท้องฟ้า" โดย"สกาย" รวมอยู่ในเวอร์ชั่น 4.2 ของกูเกิ้ล เอิร์ธ ซึ่งสามารถดาวโหลดได้ฟรีจากเว๊ปไซต์ http://earth.google.com. เพื่อที่ผู้เข้าใช้บริการจะใช้"เมาส์"ท่องไปในแกแลกซี่ เพื่อชมภาพกลุ่มดาว,ภาพดาวเคราะห์ และเนบูล่าต่างๆ โดยสามารถชมได้ทั้งรูปภาพ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับขนาด ตำแหน่งและวงโคจร ภาพในอวกาศเหล่านี้ได้มาจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น สถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศของบัลติมอร์ และคุณยังสามารถชมภาพ 129 ภาพที่ตามปกติมีแต่นักบินอวกาศที่ได้ดู ผ่านทางกล้องโทรทรรศน์อวกาศ" ฮับเบิ้ล" ขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐฯ หรือ นาซ่า ฯลฯ
    โฆษกของกูเกิ้ลบอกด้วยว่า คาดหวังให้มีความเคลื่อนแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ใช้บริการและว่าการได้เห็นภาพเหล่านี้ทางอินเตอร์เน็ต จะเป็นแรงกระตุ้นให้คนหันมาสนใจจักรวาลมากยิ่ง

    แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
    2 ก.ย.50

     
  • At 7:08 AM, Blogger lukchai.waitum said…

    สรุปบทความ
    ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด


    สังคมไทยห่างไกลจากการเป็น “สังคมการเรียนรู้” เพราะในอดีตที่ผ่านมาเรามักจะทิ้งภารกิจที่สำคัญยิ่งนี้ไว้กับระบบการศึกษาของชาติ มาถึงวันนี้เราต่างก็ได้ตระหนักกันดีแล้วว่าการเรียนรู้เป็นพันธกิจแห่งชีวิตที่คนทุกคนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในชุมชนหรือในองค์กรก็ตาม ต่างจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ เราจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ คือต้องมองให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว คนทุกคนล้วนมีศักยภาพอยู่ในตนด้วยกันทั้งสิ้น เราต้องกำจัดความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับตนที่อยู่ในคนให้หมดไป คนแต่ละคนจะต้องมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนเป็น และจะต้องรู้จักเปิดใจ ใฝ่เรียนรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่มี ต้องกล้าพอที่จะเปิดเผยว่าตนเองมีสิ่งที่ตนต้องการจะรู้ กล้าพอที่จะขอความช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันก็ใจกว้างพอที่จะเป็นผู้ให้ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มุ่งมั่นใฝ่ฝัน ซึ่ง KM น่าจะเป็นกลไกที่ทำให้ฝันนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

     
  • At 7:49 PM, Blogger Unknown said…

    ข่าวเทคโนโลยี

    เอเซอร์เท700ล้านดอลล์ซื้อเกตเวย์
    เอเซอร์ (Acer) ผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไต้หวันประกาศพร้อมซื้อกิจการบริษัทเกตเวย์ (Gateway) บริษัทคู่แข่งสัญชาติสหรัฐแบบเต็มตัว เบ็ดเสร็จ 710 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท ผลจากการซื้อบริษัทระดับโลกอย่างเกตเวย์ช่วยให้เอเซอร์เพิ่มส่วนแบ่งตลาดและผงาดขึ้นเป็นผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์พีซีอันดับสามของตลาดโลกได้สำเร็จ เขี่ยลีโนโวตกไปอยู่อันดับสี่อย่างคาดไม่ถึง
    เม็ดเงิน 710 ล้านเหรียญนั้นคำนวณโดยตีราคาหุ้นเกตเวย์ที่ 1.9 เหรียญต่อหุ้น เหนือกว่าราคาปิดตลาดหุ้นที่ระดับ 1.21 เหรียญเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมถึง 57 เปอร์เซ็นต์
    เจ.ที. หวัง (J.T. Wang) ประธานเอเซอร์ให้สัมภาษณ์ว่าการซื้อกิจการเกตเวย์ถือเป็นดีลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเอเซอร์ โดยการซื้อเกตเวย์ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของเอเซอร์ก้าวกระโดดไปอยู่ที่อันดับสามทันที
    ลีโนโวกระเด็น
    เอชพีหรือ Hewlett-Packard ยังคงเป็นที่หนึ่งของตลาดคอมพิวเตอร์พีซีโลก ขณะที่อันดับสองคือเดลล์ (Dell) ไม่เปลี่ยนแปลง การประกาศซื้อกิจการเกตเวย์ทำให้อันดับสามเปลี่ยนมือจากลีโนโว (Lenovo) ไปเป็นเอเซอร์โดยปริยาย แม้ว่าที่ผ่านมาลีโนโวจะสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าทึ่ง
    จุดนี้นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ (Gartner) เชื่อว่าศักยภาพของลีโนโวจะไม่ได้รับผลกระทบ แม้ลีโนโวจะถูกลดฐานะไปอยู่ที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีอันดับ 4 ของโลก คาดว่าจะสามารถผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตต่อปีในสถิติที่เหนือกว่าต่อไปเรื่อยๆ
    ลีโนโวนั้นเคยทุ่มเงินถึง 1.25 พันล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อกิจการคอมพิวเตอร์พีซีจากยักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) ในปี 2004 ผลจากการซื้อครั้งนั้นส่งให้ลีโนโวทะยานจากแบรนด์โนเนมมาอยู่ที่อันดับสามของโลกได้ในพริบตาเดียว
    สำหรับศักยภาพของเกตเวย์ รายได้ประจำปีการเงินล่าสุดคือ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์พีซี 20 ล้านเครื่องต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านเครื่องในปีก่อนหน้า ถูกจัดเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายพีซีรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ
    แบรนด์ใหม่เกิด
    จุดแข็งของเกตเวย์ในพื้นที่ตลาดสหรัฐฯทำให้เอเซอร์วางแผนเปิดตัวพีซีแบรนด์ใหม่สำหรับทำตลาดทั่วโลก ด้านตัวแทนของเกตเวย์มองว่าความได้เปรียบเรื่องส่วนผสมทางการตลาดและภูมิศาสตร์ของเกตเวย์ จะส่งให้เอเซอร์แข็งแกร่งทั้งในตลาดยุโรปและเอเชีย เนื่องจากที่ผ่านมา ชื่อเอเซอร์ยังคงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้การบุกตลาดยุโรปไม่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่อย่างเอชพีหรือเดลล์ได้เต็มที่
    ก่อนหน้านี้ เอเซอร์ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกับลีโนโวในการเข้าซื้อกิจการของแพคการ์ดเบลล์ (Packard Bell) หนึ่งในผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีชั้นนำของตลาดยุโรป โดยดีลนี้ถูกประกาศในช่วงหลังปิดตลาดหุ้นแล้ว มูลค่าหุ้นของเอเซอร์จึงยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยลดลงราว 1.20 เหรียญไต้หวันไปปิดที่ 63.60 เหรียญไต้หวัน (ราว 64 บาท)

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2550 19:35 น.

     
  • At 7:53 PM, Blogger Unknown said…

    ข่าวเทคโนโลยี

    จุดเปลี่ยนไฟล์แนบอีเมลขยะ เปลี่ยนจากรูปภาพไปเป็นPDF-Excel-Word
    ไซแมนเทคแถลงสถานการณ์อีเมลขยะล่าสุด ระบุจำนวนสแปมเมลที่แนบไฟล์รูปภาพในขณะนี้เริ่มลดลงสวนทางกับอีเมล์ขยะที่แนบไฟล์พีดีเอฟที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เตือนภัยอย่าวางใจไฟล์เอ็กเซลและไมโครซอฟท์เวิร์ดเนื่องจากทั้งสองฟอร์แม็ตคือแนวโน้มอีเมลขยะแบบใหม่ที่คาดว่าจะแพร่ระบาดในอนาคต
    ไซแมนเทค (Symantec) รายงานสถานการณ์ของอีเมล์ขยะประจำเดือนสิงหาคม 2550 ว่ามีจำนวนใกล้เคียงกับผลสำรวจที่ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยระดับปริมาณอีเมล์ขยะอยู่ที่ 66 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนอีเมล์ทั้งหมดในระบบ
    หมดยุคใช้รูป
    ไซแมนเทคระบุว่าอีเมล์ขยะมีการใช้กลยุทธ์รูปแบบใหม่ โดยอีเมล์ขยะประเภทที่แนบรูปภาพมาพร้อมในอีเมล์ (Image spam) มีจำนวนลดลงอยู่ที่สัดส่วน 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ลดลงราว 52 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปริมาณของอีเมล์ขยะประเภทพีดีเอฟ (PDF Spam) มียอดที่สูงขึ้น จุดนี้นางภัทราภา หงส์คำดี ที่ปรึกษาทางเทคนิค บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการปรับปรุงกลยุทธ์ใหม่ของนักส่งอีเมลขยะ หลังจากที่ผู้จำหน่ายโปรแกรมดักจับอีเมลขยะ (anti spam) มากมายสามารถตรวจสอบและคัดกรองอีเมล์ขยะประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    "เหตุผลที่อีเมล์ขยะประเภทที่แนบรูปภาพเริ่มลดปริมาณลง คือผู้จำหน่ายโปรแกรมแอนตี้สแปมจากค่ายต่างๆ สามารถป้องกันการจู่โจมจากอีเมล์ขยะประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลยทำให้บรรดาสแปมเมอร์ทั้งหลายหันมาใช้วิธีอื่นๆแทน โดยข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่ง คือ ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไซแมนเทคได้สังเกตเห็นว่าเริ่มมีตัวอย่างของอีเมล์ขยะแรกที่อาศัยวิธีลอกเลียนแบบ Google Blogs Alert ด้วย"
    นอกจากนี้ ในรายงานยังได้ระบุถึงประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายประเด็น โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนของอีเมล์ขยะประเภทพีดีเอฟ
    "อีเมล์ขยะประเภทพีดีเอฟยังคงมีปริมาณเพิ่มขึ้น คิดเป็นปริมาณ 2 – 8 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนอีเมล์ทั้งหมดในระบบ ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ปริมาณของอีเมล์ขยะประเภทพีดีเอฟมีปริมาณสูงขึ้น เพราะผู้ให้บริการระบบอินเทอร์เน็ตและองค์กรต้องเผชิญกับความท้าทายแบบเดียวกันกับอีเมล์ขยะที่แนบรูปภาพ เช่น การถอดรหัสยาก และไฟล์มีขนาดใหญ่กว่าอีเมล์โดยเฉลี่ยในระบบทั้งหมดถึงสองเท่า” นางภัทราภา กล่าว
    ไซแมนเทคระบุว่าบรรดาสแปมเมอร์เริ่มนำไฟล์เอ็กเซล (Excel) และไฟล์บีบอัด (Zip file) มาใช้มากขึ้น โดยยังคงชื่นชอบการส่งอีเมล์ขยะที่แนบติดมากับการ์ดอวยพร จากผลรายงานการสำรวจกลุ่มลูกค้าตัวอย่างประจำเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาของไซแมนเทคพบปริมาณอีเมล์ขยะที่มีไฟล์แนบประเภทการ์ดอวยพรมากกว่า 250 ล้านฉบับ
    “แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายคืออีเมล์ขยะจากไฟล์แนบ (attachment spam) และไซแมนเทค คาดการณ์ว่าสแปมเมอร์ จะหันมาใช้งานอีเมล์ขยะที่มีไฟล์แนบประเภทไมโครซอฟท์เอ็กเซล, ไมโครซอฟท์เวิร์ด และไฟล์บีบอัด มากขึ้นในเร็วๆ นี้”
    สำหรับอีเมล์ขยะที่อ้างโดเมนเนมระดับบน (top level domains name) ก็มีปริมาณมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ .cn ที่เป็นโดเมนเนมของประเทศจีน รวมถึง .hk สำหรับฮ่องกง และที่สำคัญ ไซแมนเทคย้ำว่าผู้ใช้จะต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากในการสื่อสารโต้ตอบผ่านทางอีเมล์ที่ขอข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงใดๆที่อาจเกิดขึ้น

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2550 05:19 น.

     
  • At 11:30 PM, Blogger faridapromtes07 said…

    จมูกอิเล็กทรอนิกส์ตรวจหาวัตถุระเบิดจากอิสราเอล

    การตรวจหาวัตถุระเบิดนับเป็นภาระกิจที่สำคัญที่สุดตามสนามบินทั่วโลก ดังนั้นจะเป็นการดีเพียงใดถ้าสามารถพัฒนาเครื่องมือที่สามารถเลียนแบบความสามารถของจมูกมนุษย์ในการตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเหล่านี้

    บริษัทแห่งหนึ่งในอิสราเอลได้พัฒนาเครื่อง Mini-Nose ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาที่มีความไวสูงที่สามารถตรวจหาวัตถุต้องสงสัยได้ โดยเครื่อง Mini-Nose ของบริษัท Scent Detection Technologies Ltd. (SDT) นี้ประกอบด้วยเครื่องมือพกพา 2 ชิ้นคือ อุปกรณ์สุ่มตัวอย่าง และอุปกรณ์วิเคราะห์วัตถุระเบิด, ซึ่งออกแบบตามข้อกำหนดขององค์กรด้านความปลอดภัยทั้งจากอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา รวมถึงกระทรวงความปลอดดภัยแห่งมาตุภูมิและเพนตากอน

    เครื่องมือนี้ใช้เทคโนโลยีการสะกดรอย หรือ "sniffer" ซึ่งจะสามารรถตรวจสอบวัตถุได้หลากหลายชนิดด้วยความแม่นยำสูงและรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า High-Frequency Quartz Crystal Microbalance (HF-QCM) ซึ่งสามารถตรวจสอบสารเคมีที่ใช้ทำระเบิดได้แม้เพียงน้อยนิดในราคาที่ต่ำและให้ความถูกต้องสูงกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการตรวจสอบวัตถุระเบิดแบบเดิม

    อุปกรณ์พกพานี้มีประสิทธิภาพคุ้มราคาและสามารถตรวจสอบวัตถุระเบิดได้โดยไม่จำเป็นต้องอัพเกรดหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนใดๆ โดยผู้บริหารบริษัทฯ กล่าวว่า "ทางบริษัทฯ ได้ทดสอบเครื่องมือ Mini-Nose กับห้องทดลองกลางของอุตสาหกรรมทางการทหารของอิสราเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงกลาโหม และได้ย้ายการทดสอบออกนอกห้องแล็บไปยังสถานที่จริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็สร้างความพอใจได้อย่างมาก และตอนนี้ก็มีการนำ Mini-Nose ไปใช้ตามจุดตรวจสอบความปลอดภัยทั้งในอเมริกา ยุโรป รวมถึงเอเชียแปซิฟิคด้วย

     
  • At 8:43 AM, Blogger wannachon said…

    การจัดการความรู้.…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์และการจัดการความรู้ (Knowledge Management หรือ KM)
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์
    การกำหนดทิศทางและเป้าหมายนั้นเป็นขั้นตอนเบื้องต้นที่จำเป็นและสำคัญ แต่สิ่งที่ท้าทายบทบาทการเป็นผู้บริหารก็คือการตอบคำถามที่ว่า “เราจะนำพาชุมชนหรือองค์กรที่เราร่วมรับผิดชอบอยู่นี้ไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร ?” กระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
    1.วิสัยทัศน์/พันธกิจ/ค่านิยม(What - ต้องการจะเป็นอะไร? Why - ตั้งขึ้นมาทำไม?)
    2.เป้าหมาย/วัตถุประสงค์/ผลที่ต้องการ (Why – ทำไปทำไม? What – อะไรคือผลที่ต้องการ?)
    3.กลยุทธ์/ยุทธศาสตร์/แนวทาง
    (How – กลยุทธ์/กลวิธี/แนวทาง? Who – ผู้รับผิดชอบ/เป้าหมาย? What – กิจกรรม/สิ่งที่ต้องทำ?)
    4.ปัจจัยความสำเร็จ(Where – พื้นที่เป้าหมาย/สถานที่? When – แผน/กำหนดการ/ระยะเวลา
    How much – ค่าใช้จ่าย/งบประมาณ)
    5.ตัวชี้วัด - สมรรถนะ (Performance)ด้านต่างๆ ตัวหลักๆ
    การจัดการความรู้เชิงยุทธศาสตร์
    การจัดการความรู้ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ มองว่า บันไดขั้นที่ 5 คือ อนาคตที่พึงประสงค์ บันไดขั้นที่ 4 คือการกำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยความสำเร็จ บันไดขั้นที่ 3 คือ การกำหนด KPI หรือดัชนีชี้วัด Performance ที่ต้องการ บันไดขั้นที่ 2 ก็คือ Required Competency หรือความสามารถหลักที่ต้องมี จึงจะทำให้เกิด Performance บันไดขั้นที่ 3 ส่วนบันไดขั้นที่ 1 ก็คือการประเมินศักยภาพและความสามารถในปัจจุบันขององค์กร รูปแบบการจัดการความรู้ที่นี้ เพื่อให้ได้มาซึ่ง Performance ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด อันจะมีผลทำให้สิ่งที่ปรารถนานั้นเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการมอง KM เชิงยุทธศาสตร์ ที่จะสามารถเชื่อมโยงปัจจุบันกับอนาคตได้เป็นอย่างดี หากแต่มอง KM ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับใช้แก้ปัญหา ใช้พัฒนางานและสานฝันที่มุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริงขึ้นมา
    โมเดลการจัดการความรู้
    การจัดการความรู้ภายใต้แนวทางนี้ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน โดยการเรียนรู้ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวงจรอยู่ตรงส่วนกลางของโมเดลการจัดการความรู้ ได้แก่ เรียนรู้ก่อนทำ เรียนรู้ระหว่างทำ เรียนรู้หลังทำ วงจรวงที่สองอยู่ด้านบนของวงจรการเรียนรู้และเน้นการค้นหาแหล่งความรู้ต่างๆ(Source of Knowledge : SoK) ที่อยู่ข้างนอก วงจรนี้จึงเป็นวงจรของการ หา-คว้า-นำมาปรับใช้ ส่วนวงจรวงที่สามที่อยู่ส่วนล่างสุดเป็นการมองความรู้ส่วนที่มีอยู่เดิมเรียกได้ว่าเป็น Knowledge Assets หรือเป็นองค์ความรู้ (Body of Knowledge : BoK) ที่มีอยู่ โดยผ่านการตรวจสอบและปรับใช้ให้เหมาะสมเช่นเดียวกับความรู้ที่มาจากแหล่งภายนอกและเป็นวงจรการเรียนรู้ที่หมุนไปได้ ดังนั้นต้องมีวงจรทั้งสามนี้จึงจะสมบูรณ์ และเป็นวงจรที่มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้แก่ แหล่งความรู้ (SoK) ปริมาณองค์ความรู้ (BoK) ที่เพิ่มพูนขึ้นซึ่งทั้งสองส่วนนี้ถือว่าเป็น Output ที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัดและวัดได้ในเชิงปริมาณ ส่วนปัจจัยนำเข้าหรือ Input ที่จะให้สำเร็จลุล่วงไปได้คือเรื่อง ภาวะผู้นำ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ คน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยภาวะผู้นำในการจัดการ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการสร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน การกำหนดหลักการสำคัญไว้เพื่อให้แนวทางตลอดจนการปรับมุมมองหรือกรอบแนวความคิดให้อยู่ภายใต้ฐานความคิดที่ถูกต้อง

     
  • At 5:51 PM, Blogger napamon said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน

    ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด
    สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์

    การกำหนดทิศทางและเป้าหมายเป็นขั้นตอนเบื้องต้นที่จำเป็นและสำคัญ แต่สิ่งที่ท้าทายบทบาทการเป็นผู้บริหารก็คือ “เราจะนำพาชุมชนหรือองค์กรที่เราร่วมรับผิดชอบอยู่นี้ไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร ?” กระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
    องค์ประกอบที่ 1 เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และค่านิยม (Value) ของชุมชน/องค์กรโดยรวม
    องค์ประกอบที่ 2 เป็นการระบุเป้าหมายซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวัตถุประสงค์
    องค์ประกอบที่ 3 จัดว่าเป็นหัวใจของกระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการกำหนดกล-ยุทธ์ (Strategy) กลวิธี (Tactic) เป็นการวางแนวทาง เสนอวิธีการหรือเครื่องมือที่จะทำให้สามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
    องค์ประกอบที่ 4 เป็นการพิจารณาเพื่อระบุว่ามีอะไรบ้างที่ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่จะผลักดันให้เราทำงานได้สำเร็จ
    องค์ประกอบที่ 5 เป็นการกำหนดเครื่องมือที่จะใช้สำหรับติดตามและประเมินงานต่อไป
    การจัดการความรู้เชิงยุทธศาสตร์
    ถ้าอนาคตที่พึงประสงค์เปรียบได้กับบันไดขั้นที่ 5 บันไดขั้นที่ 4 ก็คือการกำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยความสำเร็จ และบันไดขั้นที่ 3 ก็คือ การกำหนด KPI หรือดัชนีชี้วัด Performance ที่ต้องการ ส่วนบันไดขั้นที่ 2 ก็คือ Required Competency หรือความสามารถหลักที่ต้องมี ส่วนบันไดขั้นที่ 1 ก็คือการประเมินศักยภาพและความสามารถในปัจจุบันขององค์กร
    รูปแบบการจัดการความรู้นี้ เป็นการจัดการความรู้ที่มีวัตถุประสงค์เด่นชัดว่าเพื่อให้ได้มาซึ่ง Performance ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด อันจะมีผลทำให้สิ่งที่ปรารถนานั้นเป็นจริงขึ้นมา ถือได้ว่าเป็นการมอง KM เชิงยุทธศาสตร์ ที่จะสามารถเชื่อมโยงปัจจุบันกับอนาคตได้เป็นอย่างดี เป็นรูปแบบของ KM ที่มิได้หยิบยกขึ้นมาอย่างลอย ๆ เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำตามกระแสหรือเพื่อให้ทันแฟชั่นเท่านั้น หากแต่มอง KM ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับใช้แก้ปัญหา ใช้พัฒนางานและสานฝันที่มุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริงขึ้นมา
    โมเดลการจัดการความรู้
    การจัดการความรู้ภายใต้แนวทางนี้ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน มีการศึกษาวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ได้ผลพร้อมทั้งค้นหาเหตุผลด้วยว่าเป็นเพราะอะไร และจะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้กับงานที่กำลังจะทำนี้ได้อย่างไร ในระหว่างที่ทำงานอยู่ ก็จะต้องมีการทบทวน (Review) การทำงานอยู่ตลอดเวลาเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทุก ๆ ขั้นตอน หรือใช้เครื่องมือที่เรียกว่า After Action Review (AAR) และเมื่อเสร็จสิ้นการทำงานหรือเมื่อจบโครงการ (ไม่ควรเกิน 2-3 สัปดาห์) ก็จะต้องมีการทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำมาแล้ว โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Retrospect ซึ่งการเรียนรู้ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวงจรอยู่ตรงส่วนกลางของโมเดลการจัดการความรู้นั่นเอง
    อย่างไรก็ตาม การที่มีเพียงแค่วงจรการเรียนรู้นั้นคงยังไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นการจัดการความรู้จนกว่าจะมีการจัดการทำให้เกิดวงจรอีกสองวงขึ้นดังต่อไปนี้
    วงจรวงที่สอง เป็นการเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการ “ค้นหา” แหล่งความรู้ต่าง ๆ (Source of Knowledge : SoK) ที่อยู่ข้างนอก วงจรนี้จึงเป็นวงจรของการ “หา-คว้า-นำมาปรับใช้” สำหรับวงจรวงที่สาม เป็นการมองความรู้ส่วนที่มีอยู่เดิมเรียกได้ว่าเป็น Knowledge Assets หรือเป็นองค์ความรู้ (Body of Knowledge : BoK) ที่มีอยู่ ซึ่งต้องพร้อมที่จะ “ควัก” ออกมาใช้โดยผ่านการตรวจสอบและปรับใช้ให้เหมาะสม และนอกจากนั้นเมื่อวงจรการเรียนรู้หมุนไปได้ ในที่สุดแล้วจะต้องมีขั้นตอนการ “เคี่ยว” สิ่งที่ได้เรียนรู้ให้ตกผลึกเกิดเป็นองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วย
    กระบวนการการจัดการความรู้ที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบด้วยวงจรทั้งสาม โดยที่วงจรทั้งสามนี้จะต้องมีความเป็นพลวัต (Dynamics) คือมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการจัดการความรู้ตามโมเดลนี้ คือOutcome เชิง Performance ตามที่ต้องการแล้ว ผลพลอยได้หรือ By-product ได้แก่ แหล่งความรู้ (SoK) และเครือข่ายที่แพร่ขยายกว้างขวางยิ่งขึ้น ปริมาณองค์ความรู้ (BoK) ที่เพิ่มพูนขึ้นซึ่งทั้งสองส่วนนี้ถือว่าเป็น Output ที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัดและสามารถวัดได้ในเชิงปริมาณ สำหรับปัจจัยนำเข้าหรือ Input ที่ถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็คือเรื่อง “ภาวะผู้นำ”
    โมเดลการจัดการความรู้ตามที่เสนอนี้เป็นเพียงโครงร่างคร่าว ๆ สำหรับใช้สื่อสารเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินงานไปได้ โดยได้ให้ความยืดหยุ่นไว้อย่างเต็มที่ เพื่อให้องค์กรภาคีสามารถปรับแต่งใช้ได้ภายใต้บริบทและโจทย์ของปัญหาที่ต่างกัน
    บทสรุป
    เราจะต้องรู้จักเปิดใจ ใฝ่เรียนรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่มี กล้าพอที่จะขอความช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันก็ใจกว้างพอที่จะเป็นผู้ให้ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มุ่งมั่นใฝ่ฝัน ซึ่ง KM น่าจะเป็นกลไกที่ทำให้ฝันนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

     
  • At 7:42 AM, Blogger Unknown said…

    ทศวิบัติของการจัดการความรู้ในหน่วยราชการ
    ข้อปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับพัฒนาหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้
    วิบัติที่ 1 ภาวะผู้นำที่พิการหรือบิดเบี้ยว
    - ไม่รู้จักและไม่สนใจการจัดการความรู้
    - ไม่สนับสนุนหรือสนับสนุนแบบไม่จริงใจ
    - ถือประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนองค์การ
    - มีการแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้บริหารระดับสูง หรือไม่สามัคคีกัน
    วิบัติที่ 2 วัฒนธรรมอำนาจ
    - บุคลากรแสดงความเคารพยำเกรง จงรักภักดีต่อ “นาย” ที่เอื้อประโยชน์แก่ตนได้ และทำงานเพื่อสนอง “นโยบาย” ของ “นาย” เป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายหลักขององค์การ
    - องค์การมีลักษณะเป็น “แท่งอำนาจ” หลาย ๆ แท่งอยู่ด้วยกันในลักษณะแท่งใครแท่งมัน
    - การติดต่อสื่อสารมีลักษณะสื่อสารแนวดิ่งภายในแท่งของตน ไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างแท่ง หรือถ้าจะมีก็ต้องเป็นทางการ โดยผู้มีอำนาจสูงสุดของแท่ง “อนุมัติ” ให้ดำเนินการได้
    - การริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะดำเนินได้เฉพาะโดย “นโยบาย” หรือโดยการอนุมัติของผู้มีอำนาจสูงสุดภายในแท่งเท่านั้น
    - การปฏิบัติงานต้องเป็นไปตามกฎระเบียบโดยเคร่งครัด
    - ความสัมพันธ์เป็นลักษณะ “ผู้บังคับบัญชา” กับ “ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา”
    วิบัติที่ 3 ไม่ให้คุณค่าต่อความแตกต่างหลากหลาย
    มีความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ว่าระหว่างผู้ที่อาวุโสกว่ากับผู้อาวุโสต่ำกว่า และระหว่างผู้มีภาระรับผิดชอบในระดับเดียวกัน แต่การมีวิธีคิดหรือมีความเห็นแตกต่างกัน ต้องไม่ถือเป็นการไม่เคารพหรือกระด้างกระเดื่อง
    วิบัติที่ 4 ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีทำงานใหม่ ๆ
    ผู้ที่หาวิธีทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อให้งานมีคุณภาพสูงขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติผิดกฎระเบียบ อาจไม่เป็นที่ชอบใจของเพื่อน ๆ หรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้บังคับบัญชา การริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จะถูกปิดกั้น การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้ผล
    วิบัติที่ 5 ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก
    หน่วยราชการไม่ขวนขวายปรับตัวเพื่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก
    วิบัติที่ 6 ไม่คิดพึ่งตนเองในด้านความรู้
    หน่วยราชการต่าง ๆ อยู่ในสภาพ “พึ่งพาความรู้จากภายนอก” จนเคยชิน กล่าวคือทำงานตาม “ความรู้” ที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบอย่างชัดเจนตายตัว และกฎระเบียบเหล่านั้นก็กำหนดมาจากหน่วยงานภายนอกหรือหน่วยเหนือ หน่วยราชการส่วนใหญ่จึงถือว่าตนเองเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ “หน่วยสร้างความรู้” เพราะคิดว่าหน่วยสร้างความรู้คือหน่วยวิชาการ จึงขาดทั้งแนวความคิดและทักษะในการสร้างความรู้ขึ้นใช้เองในงานของตน
    วิบัติที่ 7 ไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในการทำงานบางส่วน
    ทำงานแบบไม่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง และไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในขณะปฏิบัติงาน ทำให้ไม่มีโจทย์สำหรับแสวงหาและสร้างความรู้เพื่อการทำงาน ขาด “ตัวช่วย” สำหรับการจัดการความรู้ที่ทรงพลัง
    วิบัติที่ 8 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้แทรกเป็นเนื้อเดียวกับงานประจำ ทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเป็นงานที่เพิ่มขึ้น
    สารสนเทศ การมอบความรับผิดชอบระบบจัดการความรู้ไว้กับหน่วยใดหน่วยหนึ่งใน ๒ หน่วยนี้ มีความเสี่ยงที่การดำเนินการจัดการความรู้จะแยกออกจากเนื้องาน ทำให้การจัดการความรู้กลายเป็นเนื้องานหรือภาระงานเสียเอง ผู้ปฏิบัติงานจะต่อต้าน หรือไม่เต็มใจทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นการเพิ่มงาน แล้วในที่สุดการจัดการความรู้จะล้มเหลว
    วิบัติที่ 9 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เป้าหมายหลักขององค์การ
    มีลักษณะของการจัดการความรู้ที่ดำเนินการถูกขั้นตอนทุกอย่าง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้น เกิดการยกระดับความรู้ แต่เมื่อประเมินผลกระทบต่อกิจการขององค์การแล้ว พบว่ามีผลน้อยมาก เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้ดูแลระบบจัดการความรู้ (CKO – Chief Knowledge Officer) ไม่ได้ดูแลให้เป้าหมายของการจัดการความรู้พุ่งไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ
    วิบัติที่ 10 ไม่มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่ทุกคนในหน่วยงานสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
    คือ “การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้” (knowledge sharing) ซึ่งต้องการ “พื้นที่” ให้คนมาพบปะกัน ทั้งที่เป็น “พื้นที่จริง” และ “พื้นที่ เสมือน” และเป็นพื้นที่ที่อยู่ในลักษณะ “พื้นที่ประเทืองปัญญา” คือไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ “ไร้ชีวิต” ขาดการดูแล แต่เป็นพื้นที่ที่มี “การจัดการ” ให้เกิดความสนุกสนานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หากขาด “พื้นที่ที่มีชีวิต” การจัดการความรู้ในองค์การจะจืดชืด ไม่สามารถเกิดผลอันทรงพลังได้

     
  • At 10:15 AM, Blogger pung.panudda said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน

    บทบาทการเป็นผู้บริหารก็คือ “เราจะนำพาชุมชนหรือองค์กรที่เราร่วมรับผิดชอบอยู่นี้ไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร ?” ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
    1 การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และค่านิยม (Value) ของชุมชน/องค์กรโดยรวม
    2 การระบุเป้าหมาย วัตถุประสงค์
    3 การวางแนวทาง เสนอวิธีการหรือเครื่องมือที่จะทำให้สามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
    4 ระบุว่ามีอะไรบ้างที่ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่จะผลักดันให้ทำงานได้สำเร็จ
    5 กำหนดเครื่องมือที่จะใช้สำหรับติดตามและประเมินงาน
    บันไดขั้นที่ 4 และ 5คือการกำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยความสำเร็จ บันไดขั้นที่ 3 ก็คือ การกำหนด KPI หรือดัชนีชี้วัด Performance ที่ต้องการ บันไดขั้นที่ 2 เป็นการจัดการความรู้ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่ง Performance ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด KM ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับใช้แก้ปัญหา ใช้พัฒนางานและสานฝันที่มุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริงขึ้นมา

    โมเดลการจัดการความรู้
    การเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทุก ๆ ขั้นตอน หรือใช้เครื่องมือที่เรียกว่า After Action Review (AAR) และเมื่อเสร็จสิ้นการทำงานหรือเมื่อจบโครงการ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Retrospect ซึ่งการเรียนรู้ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวงจร ดังต่อไปนี้
    “ค้นหา” แหล่งความรู้ต่าง ๆ (Source of Knowledge : SoK) “หา-คว้า-นำมาปรับใช้” (Body of Knowledge : BoK) ที่มีอยู่ ซึ่งต้องพร้อมที่จะ “ควัก” ออกมาใช้โดยผ่านการตรวจสอบและปรับใช้ให้เหมาะสม “เคี่ยว” สิ่งที่ได้เรียนรู้ให้ตกผลึกเกิดเป็นองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วย
    วงจรนี้จะต้องมีความเป็นพลวัต (Dynamics) คือมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการจัดการความรู้ตามโมเดลนี้ คือOutcome เชิง Performance ตามที่ต้องการแล้ว ผลพลอยได้หรือ By-product ได้แก่ แหล่งความรู้ (SoK) และเครือข่ายที่แพร่ขยายกว้างขวางยิ่งขึ้น ปริมาณองค์ความรู้ (BoK) ที่เพิ่มพูนขึ้นซึ่งทั้งสองส่วนนี้ถือว่าเป็น Output ที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัดและสามารถวัดได้ในเชิงปริมาณ สำหรับปัจจัยนำเข้าหรือ Input ที่ถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็คือเรื่อง “ภาวะผู้นำ”

     
  • At 10:29 AM, Blogger pung.panudda said…

    ทศวิบัติของการจัดการความรู้ในหน่วยราชการ
    ข้อปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับพัฒนาหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้

    วิบัติที่ 1 ภาวะผู้นำที่พิการหรือบิดเบี้ยว (ไม่รู้จักและไม่สนใจการจัดการความรู้ ไม่สนับสนุน
    ถือประโยชน์ส่วนตนไม่สามัคคีกัน)

    วิบัติที่ 2 วัฒนธรรมอำนาจบุคลากรแสดงความเคารพ ความสัมพันธ์เป็นลักษณะ “ผู้บังคับบัญชา” กับ “ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา”

    วิบัติที่ 3 ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
    วิบัติที่ 4 ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีทำงานใหม่ ๆ

    วิบัติที่ 5 ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอกหน่วยราชการไม่ขวนขวายปรับตัวเพื่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก

    วิบัติที่ 6 ไม่คิดพึ่งตนเองในด้านความรู้
    หน่วยราชการส่วนใหญ่จึงถือว่าตนเองเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ “หน่วยสร้างความรู้” เพราะคิดว่าหน่วยสร้างความรู้คือหน่วยวิชาการ จึงขาดทั้งแนวความคิดและทักษะในการสร้างความรู้ขึ้นใช้เองในงานของตน

    วิบัติที่ 7 ไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนไม่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง และไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในขณะ
    วิบัติที่ 8 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้แทรกเป็นเนื้อเดียวกับงานประจำ ทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเป็นงานที่เพิ่มขึ้น

    วิบัติที่ 9 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เป้าหมายหลักขององค์การ
    มีลักษณะของการจัดการความรู้ที่ดำเนินการถูกขั้นตอนทุกอย่าง ไม่ได้ดูแลให้เป้าหมายของการจัดการความรู้พุ่งไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ

    วิบัติที่ 10 ไม่มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้” (knowledge sharing) ซึ่งต้องการ “พื้นที่” ให้คนมาพบปะกัน ทั้งที่เป็น “พื้นที่จริง” และ “พื้นที่ เสมือน” และเป็นพื้นที่ที่อยู่ในลักษณะ “พื้นที่ประเทืองปัญญา” คือไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ “ไร้ชีวิต” ขาดการดูแล แต่เป็นพื้นที่ที่มี “การจัดการ” ให้เกิดความสนุกสนานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หากขาด “พื้นที่ที่มีชีวิต” การจัดการความรู้ในองค์การจะจืดชืด ไม่สามารถเกิดผลอันทรงพลังได้

     
  • At 7:39 AM, Blogger lukchai.waitum said…

    เรื่อง นักวิเคราะห์ชี้ "ปาล์ม-โมโตโรลา" รับผลไอโฟนลดราคา




    เรื่องย่อ
    "ปาล์ม-โมโตโรลา" จ่อคิวเสียหายหนัก หลังแอปเปิ้ลประกาศลดราคาไอโฟนลงเหลือเพียง 399 เหรียญสหรัฐ จากเดิมที่เคยตั้งราคาไว้สูงถึง 599 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในระดับราคาดังกล่าว ถือเป็นกลุ่มราคาเดียวกันกับโทรศัพท์มือถือ Razr2 ของโมโตโรลา และ ปาล์ม ทรีโอ
    ไบรอัน โมดอฟฟ์ นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า "การกระทำเช่นนี้ถือว่าส่งผลต่อปาล์มมาก เพราะการลดราคาไอโฟนลงมาเหลือ 399 เหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้บริโภคอดเปรียบเทียบคุณสมบัติของไอโฟนกับปาล์มทรีโออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
    สำหรับค่ายปาล์ม ปัจจุบันถือว่ามียอดขายในตลาดไม่โดดเด่นเท่าที่ควร โดยจะจำกัดกลุ่มลูกค้าของตนเองอยู่ในตลาดสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ซึ่งยอดขายในปีล่าสุด (ก.ค.06 - มิ.ย.07) อยู่ที่ 2.7 ล้านเครื่องเท่านั้น และอุปกรณ์รุ่นทรีโอ (ราคาขายของค่ายเวอไรซอน ไวร์เลส อยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่ายสปรินท์ เน็กซ์เทลขายอยู่ที่ 199 เหรียญสหรัฐ แต่ต้องเซ็นสัญญาระยะยาว) ก็มักเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อใช้ในการรับ - ส่งอีเมล และเล่นอินเทอร์เน็ตมากกว่าเน้นกลุ่มคอนซูเมอร์
    จากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้ปาล์มหาทางแก้มือด้วยการพัฒนาอุปกรณ์รุ่นโลว-เอนด์หวังนำมาสร้างรายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง นั่นคือที่มาของการเตรียมเปิดตัวอุปกรณ์รุ่น Centro ที่คาดว่าจะมีงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นของ Centro คือราคาขาย 99 เหรียญสหรัฐ เน้นเจาะกลุ่มตลาดล่างมากขึ้น
    อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายยังเชื่อว่า การปรับลดราคาของไอโฟนในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อยักษ์ใหญ่โนเกีย ซัมซุง และแอลจีมากนัก เนื่องจากค่ายเหล่านี้มีโปรดักส์ที่โดดเด่นอยู่หลายตัว และอาจหาช่องทางทำตลาดกับลูกค้าได้แตกต่างกันไป ตรงกันข้ามกับปาล์มที่มีโปรดักส์ในมือให้เลือกไม่มาก และเมื่อมีคู่แข่งรายใหม่อย่างไอโฟนเข้ามาเจาะตลาดเพิ่ม จึงหลีกเลี่ยงปัญหาการเจ็บตัวยาก
    หันมาที่ยักษ์ใหญ่อีกรายที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดราคาของไอโฟนอย่างโมโตโรลา เหตุที่โมโตโรลาติดโผในครั้งนี้ด้วยเป็นเพราะผลประกอบการของบริษัทที่ยังอยู่ในระยะลูกผีลูกคน ตรงข้ามกับในอดีตที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในเครื่องรุ่น Razr แม้ทางบริษัทจะแก้ตัวด้วยการส่ง Razr2 ลงตลาดสหรัฐอเมริกาแล้วก็ตาม
    ลอเรนซ์ แฮร์ริส นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer กล่าวว่า "โทรศัพท์มือถือไอโฟนสะท้อนได้ถึงภาพลักษณ์ที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยมได้มากกว่า Razr2 ขณะที่ความแตกต่างด้านคุณสมบัติระหว่างสองรุ่นนี้จัดว่าค่อนข้างน้อย แรงกดดันจึงตกอยู่กับโมโตโรลา เพราะพวกเขาจะต้องหาทางเสริมภาพลักษณ์ให้กับโทรศัพท์ใหม่ในเร็ววัน"
    นอกจากนั้น นักลงทุนยังเฝ้ารอวัน Analyst Day ที่โมโตโรลาจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ด้วยใจจดจ่อ เพราะพวกเขาหวังจะได้ทราบถึงแผนการพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่มาพร้อมระบบทัชสกรีนด้วย

    แหล่งที่มา ผู้จัดการออนไลน์
    ึึึึึ7 กันยายน 255O

     
  • At 8:00 AM, Blogger lukchai.waitum said…

    ย่อ บทความ หมอวิจารณ์ พานิช
    เรื่อง ทศวิบัติของการจัดการความรู้ในหน่วยราชการ
    หลังจากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มีผลบังคับใช้ และกำหนดให้หน่วยราชการต้องพัฒนาไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ และต้องดำเนินการจัดการความรู้ ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) กำหนดให้การจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินหน่วยราชการ
    ในบทความเรื่อง “ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ” ได้เสนอข้อปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับพัฒนาหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ ดังนี้
    วิบัติที่ 1 ภาวะผู้นำที่พิการหรือบิดเบี้ยว
    มีการปฏิบัติของผู้นำระดับสูงขององค์การหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดการความรู้ ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
    • ไม่รู้จักและไม่สนใจการจัดการความรู้
    • ไม่สนับสนุนหรือสนับสนุนแบบไม่จริงใจ
    • ถือประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนองค์การ
    • มีการแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้บริหารระดับสูง หรือไม่สามัคคีกัน
    วิบัติที่ 2 วัฒนธรรมอำนาจ องค์การที่อยู่ใต้วัฒนธรรมอำนาจ (top – down, command and control) จะมีลักษณะ
    • บุคลากรแสดงความเคารพยำเกรง จงรักภักดีต่อ “นาย” ที่เอื้อประโยชน์แก่ตนได้ และทำงานเพื่อสนอง “นโยบาย” ของ “นาย” เป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายหลักขององค์การ
    • องค์การมีลักษณะเป็น “แท่งอำนาจ” หลาย ๆ แท่งอยู่ด้วยกันในลักษณะแท่งใครแท่งมัน
    • การติดต่อสื่อสารมีลักษณะสื่อสารแนวดิ่งภายในแท่งของตน ไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างแท่ง หรือถ้าจะมีก็ต้องเป็นทางการ โดยผู้มีอำนาจสูงสุดของแท่ง “อนุมัติ” ให้ดำเนินการได้
    • การริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะดำเนินได้เฉพาะโดย “นโยบาย” หรือโดยการอนุมัติของผู้มีอำนาจสูงสุดภายในแท่งเท่านั้น
    • การปฏิบัติงานต้องเป็นไปตามกฎระเบียบโดยเคร่งครัด
    • ความสัมพันธ์เป็นลักษณะ “ผู้บังคับบัญชา” กับ “ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา”
    ภายใต้วัฒนธรรมอำนาจเช่นนี้ การเรียนรู้จากภายนอกหน่วยงานและการสร้างความรู้ขึ้นใช้
    เอง อาจเป็นการท้าทายผู้บังคับบัญชา และอาจเป็นการปฏิบัติงานผิดกฎระเบียบ
    วิบัติที่ 3 ไม่ให้คุณค่าต่อความแตกต่างหลากหลาย
    ในองค์การแบบนี้สิ่งที่เน้นคือ “เอกภาพ” ภายใต้หลักการว่าทุกคนในหน่วยงานจะต้องมีวิธีคิดแบบเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความคิดเชิง “เห็นพ้อง” กับ “ผู้บังคับบัญชา” ในทุกเรื่อง ในลักษณะ “ว่านอนสอนง่าย” “ไม่กระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา”
    วิบัติที่ 4 ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีทำงานใหม่ ๆ
    องค์การแบบนี้เน้นการทำงานตาม “แบบฉบับ” ตามกฎระเบียบหรือตามประเพณีที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันมาอย่างเคร่งครัด ผู้ที่หาวิธีทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อให้งานมีคุณภาพสูงขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติผิดกฎระเบียบ อาจไม่เป็นที่ชอบใจของเพื่อน ๆ หรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้บังคับบัญชา
    วิบัติที่ 5 ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก
    ที่จริงไม่มีบุคคลใดหรือหน่วยงานใด ที่ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมหรือในสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ แต่ในหน่วยราชการส่วนใหญ่ การรับรู้นั้นอยู่ในลักษณะ “ตั้งอยู่ในความประมาท” คือไม่ตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมีผลกระทบต่อตนหรือหน่วยงานของตน ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม หน่วยราชการอยู่ในสภาพ “ไม่มีวันเจ๊ง” จึงไม่คุ้นเคยกับการขวนขวายปรับตัว ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ในเวลานี้รัฐบาลได้ใส่เงื่อนไขต่าง ๆ เข้าไปกระตุ้นให้หน่วยราชการและข้าราชการต้องตื่นตัว ทำงานในลักษณะที่จะต้อง “รับมือ” ต่อการเปลี่ยนแปลงหรือแรงบีบคั้นจากภายนอก การกำหนดให้หน่วยราชการต้องดำเนินการจัดการความรู้และพัฒนาไปเป็นองค์การเรียนรู้ ก็เป็นการสร้างเงื่อนไขอย่างหนึ่ง หน่วยราชการที่ผู้บริหารระดับสูง และข้าราชการในองค์การยังคงตั้งอยู่ในความประมาทดังกล่าว จะไม่เกิดการจัดการความรู้ที่เป็น “ของจริง” หรือ “ของแท้”
    วิบัติที่ 6 ไม่คิดพึ่งตนเองในด้านความรู้
    หน่วยราชการต่าง ๆ อยู่ในสภาพ “พึ่งพาความรู้จากภายนอก” จนเคยชิน กล่าวคือทำงานตาม “ความรู้” ที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบอย่างชัดเจนตายตัว และกฎระเบียบเหล่านั้นก็กำหนดมาจากหน่วยงานภายนอกหรือหน่วยเหนือ หน่วยราชการส่วนใหญ่จึงถือว่าตนเองเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามที่กำหนดไว้
    วิบัติที่ 7 ไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในการทำงานบางส่วน
    การปฏิบัติราชการเป็นการทำงานในลักษณะที่ “ชัดเจนตายตัว” ตามกฎเกณฑ์รูปแบบที่กำหนด การทำงานในแนวทางเช่นนี้จึงเป็นการทำงานที่เอาตัวผู้ให้บริการเป็นตัวตั้งหรือเป็นศูนย์กลาง ผู้รับบริการ (หรือลูกค้า) ต้องอนุโลมตามผู้ให้บริการ แต่งานบริการสมัยใหม่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ผู้ให้บริการจะต้องบริการ “ตามความพึงพอใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ”
    วิบัติที่ 8 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้แทรกเป็นเนื้อเดียวกับงานประจำ ทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเป็นงานที่เพิ่มขึ้น บางองค์การมอบความรับผิดชอบต่อการจัดการความรู้ไว้ที่หน่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคล บางองค์การมอบไว้ที่หน่วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การมอบความรับผิดชอบระบบจัดการความรู้ไว้กับหน่วยใดหน่วยหนึ่งใน ๒ หน่วยนี้ มีความเสี่ยงที่การดำเนินการจัดการความรู้จะแยกออกจากเนื้องาน ทำให้การจัดการความรู้กลายเป็นเนื้องานหรือภาระงานเสียเอง ผู้ปฏิบัติงานจะต่อต้าน หรือไม่เต็มใจทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นการเพิ่มงาน แล้วในที่สุดการจัดการความรู้จะล้มเหลว
    วิบัติที่ 9 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เป้าหมายหลักขององค์การ
    นี่คือ “จุดตาย” ที่พบบ่อย มีลักษณะของการจัดการความรู้ที่ดำเนินการถูกขั้นตอนทุกอย่าง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้น เกิดการยกระดับความรู้ แต่เมื่อประเมินผลกระทบต่อกิจการขององค์การแล้ว พบว่ามีผลน้อยมาก เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้ดูแลระบบจัดการความรู้ (CKO – Chief Knowledge Officer) ไม่ได้ดูแลให้เป้าหมายของการจัดการความรู้พุ่งไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ
    วิบัติที่ 10 ไม่มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่ทุกคนในหน่วยงานสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยน
    แบ่งปันความรู้อย่างเป็นธรรมชาติกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการความรู้คือ “การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้” (knowledge sharing) ซึ่งต้องการ “พื้นที่” ให้คนมาพบปะกัน ทั้งที่เป็น “พื้นที่จริง” และ “พื้นที่ เสมือน” และเป็นพื้นที่ที่อยู่ในลักษณะ “พื้นที่ประเทืองปัญญา” คือไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ “ไร้ชีวิต” ขาดการดูแล แต่เป็นพื้นที่ที่มี “การจัดการ” ให้เกิดความสนุกสนานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดความรู้สึกใน “น้ำใจไมตรี” ระหว่างผู้เข้ามา “สนุก” ในพื้นที่ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนได้มี “สิ่งละอัน พันละนิด” มาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงาน และร่วมกันสร้างความมีชีวิตชีวาในการทำงาน
    หน่วยราชการที่ต้องการบรรลุผลสำเร็จในการจัดการความรู้สู่การเป็นองค์การเรียนรู้ พึงตรวจสอบ “ปัจจัยสู่วิบัติ” เหล่านี้ และขจัดปัดเป่าออกไปเสีย

     
  • At 6:29 AM, Blogger Unknown said…

    การจัดการความรู้ Knowledge Management
    โดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด
    KM คือ เครื่องมือ เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
    แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน และองค์กร เป็นเงื่อนไขสำคัญ ในระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้
    แรงจูงใจเทียมต่อการดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย มีมากมายหลายแบบ เป็นต้นเหตุที่นำไปสู่การทำการจัดการความรู้แบบเทียม และนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด
    ความรู้อาจแบ่งใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
    1. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ วิชาการ อยู่ในตำรา คู่มือปฏิบัติงาน
    2. ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน เป็นภูมิปัญญา
    คนสำคัญที่ดำเนินการจัดการความรู้
    1. ผู้บริหารสูงสุด (CEO) ผู้บริหารต้องเห็นคุณค่าและเป็นตัวผลักดัน km
    2. คุณเอื้อ บทบาทของคุณเอื้อ คือ ร่วมมือกับ “คุณอำนวย” จัดให้มีการกำหนด “เป้าหมายคอยเชื่อมโยงวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ขององค์กร, จัดบรรยากาศแนวราบ และการบริหารงานแบบเอื้ออำนาจ (empowerment), ร่วม share ทักษะในการเรียนรู้
    3. คุณอำนวยเป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้
    4. คุณกิจ เป็นผู้ปฏิบัติงานตัวจริงในการจัดการเรียนรู้ เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ประมาณร้อยละ 90-95
    5. คุณประสานเป็นผู้ที่คอยประสานเชื่อมโยงเครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวงที่กว้างขึ้น เกิดพลังร่วมมือทางเครือข่ายในการเรียนรู้และยกระดับความรู้แบบทวีคูณ

     
  • At 10:40 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    ย่อบทความ10ประการ
    ทศปฏิบัติสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้ของหน่วยราชการ” ได้เสนอข้อปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับพัฒนาหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์การเรียนรู้วิบัติที่ 1 ภาวะผู้นำที่พิการหรือบิดเบี้ยว มีการปฏิบัติของผู้นำระดับสูงขององค์การหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดการความรู้ ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ไม่รู้จักและไม่สนใจการจัดการความรู้
    ไม่สนับสนุนหรือสนับสนุนแบบไม่จริงใจถือประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนองค์การมีการแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้บริหารระดับสูง หรือไม่สามัคคีกัน
    วิบัติที่ 2 วัฒนธรรมอำนาจ องค์การที่อยู่ใต้วัฒนธรรมอำนาจ (top – down, command and control) จะมีลักษณะบุคลากรแสดงความเคารพยำเกรง จงรักภักดีต่อ “นาย” ที่เอื้อประโยชน์แก่ตนได้ และทำงานเพื่อสนอง “นโยบาย” ของ “นาย” เป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายหลักขององค์การองค์การมีลักษณะเป็น “แท่งอำนาจ” หลาย ๆ แท่งอยู่ด้วยกันในลักษณะแท่งใครแท่งมันการติดต่อสื่อสารมีลักษณะสื่อสารแนวดิ่งภายในแท่งของตน ไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างแท่ง หรือถ้าจะมีก็ต้องเป็นทางการ โดยผู้มีอำนาจสูงสุดของแท่ง “อนุมัติ” ให้ดำเนินการได้วิบัติที่ 3 ไม่ให้คุณค่าต่อความแตกต่างหลากหลาย
    ในองค์การแบบนี้สิ่งที่เน้นคือ “เอกภาพ” ภายใต้หลักการว่าทุกคนในหน่วยงานจะต้องมีวิธีคิดแบบเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความคิดเชิง “เห็นพ้อง” กับ “ผู้บังคับบัญชา” ในทุกเรื่อง ในลักษณะ “ว่านอนสอนง่าย” “ไม่กระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา”
    วิบัติที่ 4 ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีทำงานใหม่ ๆ องค์การแบบนี้เน้นการทำงานตาม “แบบฉบับ” ตามกฎระเบียบหรือตามประเพณีที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันมาอย่างเคร่งครัด ผู้ที่หาวิธีทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อให้งานมีคุณภาพสูงขึ้น หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติผิดกฎระเบียบ อาจไม่เป็นที่ชอบใจของเพื่อน ๆ หรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้บังคับบัญชาวิบัติที่ 5 ไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายนอก
    ที่จริงไม่มีบุคคลใดหรือหน่วยงานใด ที่ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมหรือในสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ แต่ในหน่วยราชการส่วนใหญ่ การรับรู้นั้นอยู่ในลักษณะ “ตั้งอยู่ในความประมาท” คือไม่ตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมีผลกระทบต่อตนหรือหน่วยงานของตน ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
    วิบัติที่ 6 ไม่คิดพึ่งตนเองในด้านความรู้
    หน่วยราชการต่าง ๆ อยู่ในสภาพ “พึ่งพาความรู้จากภายนอก” จนเคยชิน กล่าวคือทำงานตาม “ความรู้” ที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบอย่างชัดเจนตายตัว และกฎระเบียบเหล่านั้นก็กำหนดมาจากหน่วยงานภายนอกหรือหน่วยเหนือ หน่วยราชการส่วนใหญ่จึงถือว่าตนเองเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ “หน่วยสร้างความรู้” เพราะคิดว่าหน่วยสร้างความรู้คือหน่วยวิชาการ
    วิบัติที่ 7 ไม่ยอมรับความไม่ชัดเจนในการทำงานบางส่วน
    การปฏิบัติราชการเป็นการทำงานในลักษณะที่ “ชัดเจนตายตัว” ตามกฎเกณฑ์รูปแบบที่กำหนด การทำงานในแนวทางเช่นนี้จึงเป็นการทำงานที่เอาตัวผู้ให้บริการเป็นตัวตั้งหรือเป็นศูนย์กลาง ผู้รับบริการ (หรือลูกค้า) ต้องอนุโลมตามผู้ให้บริการ แต่งานบริการสมัยใหม่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ผู้ให้บริการจะต้องบริการ “ตามความพึงพอใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ” ซึ่งจะไม่อยู่ในสภาพที่ตายตัว ความเข้าใจเรื่องราวตามความพึงพอใจของผู้ใช้บริการก็ไม่ชัดเจนในทุกเรื่อง
    วิบัติที่ 8 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้แทรกเป็นเนื้อเดียวกับงานประจำ ทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระ หรือเป็นงานที่เพิ่มขึ้น
    บางองค์การมอบความรับผิดชอบต่อการจัดการความรู้ไว้ที่หน่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคล บางองค์การมอบไว้ที่หน่วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การมอบความรับผิดชอบระบบจัดการความรู้ไว้กับหน่วยใดหน่วยหนึ่งใน ๒ หน่วยนี้ มีความเสี่ยงที่การดำเนินการจัดการความรู้จะแยกออกจากเนื้องาน ทำให้การจัดการความรู้กลายเป็นเนื้องานหรือภาระงานเสียเอง ผู้ปฏิบัติงานจะต่อต้าน หรือไม่เต็มใจทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นการเพิ่มงาน แล้วในที่สุดการจัดการความรู้จะล้มเหลว
    วิบัติที่ 9 การดำเนินการจัดการความรู้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เป้าหมายหลักขององค์การ
    นี่คือ “จุดตาย” ที่พบบ่อย มีลักษณะของการจัดการความรู้ที่ดำเนินการถูกขั้นตอนทุกอย่าง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้น เกิดการยกระดับความรู้ แต่เมื่อประเมินผลกระทบต่อกิจการขององค์การแล้ว พบว่ามีผลน้อยมาก เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้ดูแลระบบจัดการความรู้ (CKO – Chief Knowledge Officer) ไม่ได้ดูแลให้เป้าหมายของการจัดการความรู้พุ่งไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ
    วิบัติที่ 10 ไม่มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่ทุกคนในหน่วยงานสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
    กิจกรรมที่สำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการความรู้คือ “การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้”
    (knowledge sharing) ซึ่งต้องการ “พื้นที่” ให้คนมาพบปะกัน ทั้งที่เป็น “พื้นที่จริง” และ “พื้นที่ เสมือน” และเป็นพื้นที่ที่อยู่ในลักษณะ “พื้นที่ประเทืองปัญญา” คือไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ “ไร้ชีวิต” ขาดการดูแล แต่เป็นพื้นที่ที่มี “การจัดการ” ให้เกิดความสนุกสนานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดความรู้สึกใน “น้ำใจไมตรี” ระหว่างผู้เข้ามา “สนุก” ในพื้นที่ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนได้มี “สิ่งละอัน พันละนิด” มาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงาน

     
  • At 8:34 PM, Blogger wuttided said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์
    การกำหนดทิศทางเป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ แต่การเป็นผู้บริหารก็คือการตอบคำถามกระบวนการเชิงบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย
    1. กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ของชุมชนแลองค์การ และทั้ง 3 สิ่งนี้จะต้องไม่ขัดแย้งกัน
    2. ระบุเป้าหมายอยู่ในรูปวัตถุประสงค์ และตอบคำถามว่าทำสิ่งนั้นไปทำไม และอะไร คือผลลัพธ์ที่เราต้องการ
    3. เป็นหัวใจของกระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นการกำหนดกลยุทธ์และกลวิธี
    กลยุทธ์ที่นิยมใช้กันมาที่สุดคือ จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและปัญหา การวิเคราะห์ SWOT จะทำให้เราทราบว่าเราจะเดินไปสู่จุดมุ่งหมายได้อย่างไร
    4. ทำให้เราทราบถึงปัจจัยหลักๆ และทำให้เราทำงานได้สำเร็จ ปัจจัยพวกนี้ คือ แผนงานและทรัพยากร เช่น คน เครื่อง มือ หรืองบประมาณ
    5. กำหนดตัวชี้วัดหลักๆ ที่มักเรียกกันว่า KPI และ KPI ที่ดีต้องมีไม่มากจะต้องเลือกเอาเฉพาะตัวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ตั้งไว้แต่ต้น
    การจัดการความรู้เชิงยุทธศาสตร์
    เรื่องการจัดการความรู้ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดบ่อยๆ และทำให้เกิดความสับสนพอสมควร และบทความนี้เป็นการจัดการความรู้เชื่อมโยงกับผู้บริหาร คือ อนาคตที่พึงประสงค์เปรียบได้กับบันได 5 ขั้น บันได้ขั้นที่ 4 กำหนดยุทธศาสตร์ บันไดขั้นที่ 3 กำหนด KPI บันไดขั้นที่ 2 Pequired Competency หรือความสามารถหลัก บันไดขั้นที่ 1 ประเมินศักยภาพและความสามารถ
    รูปแบบการจัดการความรู้ที่กล่าวมานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ Performance สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดและทำให้ความปรารถนาเป็นจริง
    โมเดลการจัดการความรู้
    เกิดจากการปฏิบัติงานจริง จะต้องมีการศึกษาในสิ่งที่กำลังจะทำด้วยต้นเองหรือจาเกเพื่อนร่วมงาน และในระหว่างการทำงานั้นเราต้องมีการทบทวนเรื่องนั้นตลอดทุกขั้นตอน เพราะจะทำให้เราทราบถึงจุดมุ่งหมายของงานว่าเดินไปถูกทางหรือเปล่า มีปัญหาอะไรหรือไม่ จะทำอะไรแตกต่างจากเดิม ว่าอะไรดีแล้วและอะไรที่ต้องปรับปรุง 3 ขั้นตอนนี้คือหัวใจของโมเดลการจัดการความรู้ มีดังนี้
    “ค้นหา” แหล่งความรู้ต่างๆ (Source of Knowledge : SoK) “คบหา” แลกเปลี่ยนความรู้ “คว้า” เอาความรู้ที่ต้องการมาใช้โดยไม่ลืมขั้นตอนตรวจสอบถูกต้อง วงจรนี้เป็นวงจร “หา-คว้า-นำมาปรับใช้” วงจรล่างสุดเป็นวงจรที่มีองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้วพร้อมควักออกมาใช้ได้เลย
    สำหรับปัจจัยนำเข้าทำให้กระบวนการขับเคลื่อนลุล่วงไปได้ คือเรื่อง “ภาวะผู้นำ” เนื่องจากการจัดการความรู้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “คน” โดยทั่วไปแล้ว คนจะไม่ยอม “ถูกจัดการ” แต่จะต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าภาวะผู้นำเท่านั้นตั้งแต่แรก

     
  • At 6:32 PM, Blogger pajongjit said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน
    ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด
    สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)

    บทนำ
    การบริหารจัดการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุมชนหรือองค์กร สิ่งที่เราจะต้องไม่มองข้ามตั้งแต่แรกเริ่มก็คือการทำความเข้าใจใน “ปัจจุบัน” และ “อนาคต” ให้กระจ่างแจ้งก่อน
    เป้าหมายที่เราตั้งไว้ในอนาคตนี้นอกจากจะเป็นการกำหนดทิศทางให้กับเราแล้ว ยังเป็นเป้าหมายที่ทำให้ใจของเราจดจ่อ (Focus) อีกด้วย
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์
    องค์ประกอบที่ 1 เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และค่านิยม (Value) ของชุมชน/องค์กร
    องค์ประกอบที่ 2 เป็นการระบุเป้าหมายซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวัตถุประสงค์
    องค์ประกอบที่ 3 จัดว่าเป็นหัวใจของกระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นการกำหนดกล-ยุทธ์ (Strategy) กลวิธี (Tactic) เป็นการวางแนวทาง เสนอวิธีการหรือเครื่องมือที่จะทำให้สามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เทคนิคในการกำหนดกลยุทธ์มีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายก็ได้แก่ เทคนิคการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และปัญหาที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า SWOT Analysis
    องค์ประกอบที่ 4 เป็นการพิจารณาเพื่อระบุว่ามีอะไรบ้างที่ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่จะผลักดันให้เราทำงานได้สำเร็จ
    องค์ประกอบที่ 5 เป็นการกำหนดเครื่องมือที่จะใช้สำหรับติดตามและประเมินงานต่อไป ซึ่งก็ได้แก่การกำหนดตัวชี้วัดหลัก ๆ ที่มักเรียกกันทั่วไปว่า KPI (Key Performance Indicator)
    องค์ประกอบทั้งห้าดังที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อตัวหนึ่งเปลี่ยนตัวอื่นก็จะถูกกระทบและจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
    การจัดการความรู้เชิงยุทธศาสตร์
    การจัดการความรู้ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ คือมองว่าถ้าอนาคตที่พึงประสงค์เปรียบได้กับบันไดขั้นที่ 5 บันไดขั้นที่ 4 ก็คือการกำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยความสำเร็จ และบันไดขั้นที่ 3 ก็คือ การกำหนด KPI หรือดัชนีชี้วัด Performance ที่ต้องการ ส่วนบันไดขั้นที่ 2 ก็คือ Required Competency หรือความสามารถหลักที่ต้องมี ส่วนบันไดขั้นที่ 1 ก็คือการประเมินศักยภาพและความสามารถในปัจจุบันขององค์กร
    รูปแบบการจัดการความรู้ที่กล่าวในที่นี้ ถือได้ว่าเป็นการมอง KM เชิงยุทธศาสตร์ ที่จะสามารถเชื่อมโยงปัจจุบันกับอนาคตได้เป็นอย่างดี
    โมเดลการจัดการความรู้
    การจัดการความรู้ภายใต้แนวทางนี้ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน เรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทุก ๆ ขั้นตอน หรือใช้เครื่องมือที่เรียกว่า After Action Review (AAR) คือหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าจุดมุ่งหมายของงานที่ทำอยู่นี้คืออะไร กำลังเดินไปถูกทางหรือไม่เพราะเหตุใด มีปัญหาอะไรหรือไม่ จะต้องทำอะไรให้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่อย่างไร และนอกจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน ก็จะต้องมีการทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำมาแล้ว โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Retrospect ว่ามีอะไรบ้างที่ทำได้ดี มีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือรับไว้เป็นบทเรียน (Lesson Learned) ซึ่งการเรียนรู้ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวงจรอยู่ตรงส่วนกลางของโมเดลการจัดการความรู้นั่นเอง
    อย่างไรก็ตาม การที่มีเพียงแค่วงจรการเรียนรู้นั้นคงยังไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นการจัดการความรู้จนกว่าจะมีการจัดการทำให้เกิดวงจรอีกสองวงขึ้นดังต่อไปนี้
    วงจรวงที่สองเป็นวงจรที่อยู่ด้านบนของวงจรการเรียนรู้ เป็นการเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการ “ค้นหา” แหล่งความรู้ต่าง ๆ (Source of Knowledge : SoK) ที่อยู่ข้างนอก ซึ่งอาจจะเป็นตัวบุคคล (ผู้ชำนาญการ) วิธีปฏิบัติชั้นเยี่ยม (Best Practice) ข้อมูลที่ได้จาก Website หรือ ความรู้ที่ได้จากการ “คบหา” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งต่อหน้า (Face to Face) หรือผ่าน Virtual Community โดยที่จะต้องสามารถ “คว้า” เอาความรู้ที่ต้องการมาใช้โดยไม่ลืมขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้อง และการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมด้วย วงจรนี้จึงเป็นวงจรของการ “หา-คว้า-นำมาปรับใช้”
    วงจรวงที่สามที่อยู่ส่วนล่างสุดของวงจรการเรียนรู้ เป็นการมองความรู้ส่วนที่มีอยู่เดิมเรียกได้ว่าเป็น Knowledge Assets หรือเป็นองค์ความรู้ (Body of Knowledge : BoK) ที่มีอยู่ ซึ่งต้องพร้อมที่จะ “ควัก” ออกมาใช้โดยผ่านการตรวจสอบและปรับใช้ให้เหมาะสมเช่นเดียวกันกับความรู้ที่มาจากแหล่งภายนอก และนอกจากนั้นเมื่อวงจรการเรียนรู้หมุนไปได้ ในที่สุดแล้วจะต้องมีขั้นตอนการ “เคี่ยว” สิ่งที่ได้เรียนรู้ให้ตกผลึกเกิดเป็นองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมาอีกด้วย
    กระบวนการการจัดการความรู้ที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบด้วยวงจรทั้งสามดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยที่วงจรทั้งสามนี้จะต้องมีความเป็นพลวัต (Dynamics) คือมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากจะเป็น Outcome เชิง Performance ตามที่ต้องการแล้ว ผลพลอยได้หรือ By-product อื่น ๆ ที่สามารถเห็นได้เป็นรูปธรรมก็ได้แก่ แหล่งความรู้ (SoK) และเครือข่ายที่แพร่ขยายกว้างขวางยิ่งขึ้น ปริมาณองค์ความรู้ (BoK) ที่เพิ่มพูนขึ้นซึ่งทั้งสองส่วนนี้ถือว่าเป็น Output
    สำหรับปัจจัยนำเข้าหรือ Input ที่ถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็คือเรื่อง “ภาวะผู้นำ” ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นตั้งแต่การสร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน (Shared Purpose) การกำหนดหลักการสำคัญ (Set Principles) ไว้เพื่อให้แนวทางตลอดจนการปรับมุมมองหรือกรอบแนวความคิดให้อยู่ภายใต้ฐานความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ตั้งแต่แรก

    บทสรุป
    มาถึงวันนี้เราต่างก็ได้ตระหนักกันดีแล้วว่าการเรียนรู้เป็นพันธกิจแห่งชีวิตที่คนทุกคนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในชุมชนหรือในองค์กรก็ตาม ต่างจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ เราจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ คือต้องมองให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว คนแต่ละคนจะต้องมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนเป็น และจะต้องรู้จักเปิดใจ ใฝ่เรียนรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่มี ในขณะเดียวกันก็ใจกว้างพอที่จะเป็นผู้ให้ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มุ่งมั่นใฝ่ฝัน ซึ่ง KM น่าจะเป็นกลไกที่ทำให้ฝันนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

     
  • At 10:33 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    สรุป ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา

    นิยามของเทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา สามารถนิยามได้ในลักษณะมโนทัศน์เชิงนามธรรม หรือในลักษณะการฝึกปฏิบัติ ได้ดังนี้
    ก. นิยามในลักษณะมโนทัศน์เชิงนามธรรม “เทคโนโลยีการศึกษา เป็นการศึกษา และการปฏิบัติอันดีงามเพื่อเกื้อกูลการเรียนรู้ และช่วยให้การปฏิบัติดีขึ้น โดยการสร้างสรรค์ การใช้ประโยชน์ และการจัดหาแหล่งทรัพยากร และกระบวนการทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม”
    ข. การปฏิบัติอันดีงาม (ethical practice)คณะกรรมการว่าด้วยจริยธรรมของ AECT (AECT Ethics Committee) ได้กำหนดแนวปฏิบัติด้านจริยธรรม หรือการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม โดยเฉพาะการใช้สื่อ และการเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญา จริยธรรมดังกล่าวไม่มุ่งเน้นเฉพาะ กฎกติกา และความคาดหวัง แต่เน้นวิธีการปฏิบัติด้วย
    ค.ความเกื้อกูล (facilitating) แนวคิดของการเรียนรู้และการสอนที่เปลี่ยนไปสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในทฤษฎีด้านพุทธิพิสัยนิยมและสรรคนิยม ทำให้สมมติฐานเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนการสอน(instruction) กับการเรียนรู้ เปลี่ยนไป
    ง. การเรียนรู้ (learning) ความหมายของการเรียนรู้ หมายถึง ความคงทนของสารสนเทศ (retention of information) ที่วัดได้จากการทดสอบกับการเรียนรู้ที่ต้องแสวงหาทักษะเพื่อใช้ประโยชน์นอกห้องเรียน
    จ. ช่วยทำให้ดีขึ้น (improving) “ช่วยให้การกระทำดีขึ้น” (improve performance) ซึ่งหมายถึง ประสิทธิผลการเรียนรู้ กล่าวคือ กรรมวิธีดังกล่าวนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและคาดการณ์ได้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล และคาดการณ์ได้ ก่อให้เกิดความสามารถและนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
    ฉ. การปฏิบัติ (performance) การปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการใช้ และประยุกต์ความสามารถใหม่ๆที่ได้รับ บทเรียนแบบโปรแกรม (programmed instruction) ยึดแนวทางให้ผู้เรียนต้องปฏิบัติได้ตามจุดประสงค์ปลายทาง (terminal objectives) หน้าที่หลัก 3 ประการของเทคโนโลยีการศึกษา คือ การสร้างสรรค์ (creating) การใช้ประโยชน์ (using) และการจัดการ (managing)
    ช. การสร้างสรรค์ (creating) การสร้างสรรค์ หมายถึง ทฤษฎี ผลการวิจัย และแนวปฏิบัติที่รวมอยู่ในกรรมวิธีโครงสร้างของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบทั้งแบบในระบบ (formal) และนอกระบบ (informal)
    ซ. การใช้ประโยชน์ (using)การใช้ประโยชน์ หมายถึง ทฤษฎี และแนวปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการนำผู้เรียนไปสัมผัสกับเงื่อนไขและแหล่งการเรียนรู้ การใช้ประโยชน์เริ่มด้วยการเลือกแหล่งทรัพยากร วิธีการ และวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม
    ฌ. ความเหมาะสม (appropriate)ความเหมาะสม หมายถึง การนำวิธีการและทรัพยากรมาใช้อย่างเหมาะสมลงตัวกับจุดประสงค์ที่วางไว้
    ญ. เชิงเทคโนโลยี (technological)เชิงเทคโนโลยี หมายถึง การอธิบายกิจกรรมของมนุษย์บนพื้นฐานของเทคโนโลยี เช่นคำกล่าวที่ว่า“การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือองค์ความรู้ใดๆ อย่างเป็นระบบ
    ฎ. กรรมวิธี (process)กรรมวิธี หมายถึง อนุกรมของกิจกรรมที่มุ่งไปสู่ผลที่ได้ระบุเอาไว้ล่วงหน้า นักเทคโนโลยีการศึกษามักดำเนินการออกแบบ พัฒนา และสร้างแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมวิธีในการพัฒนาการเรียนการสอน (instructional development) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1960 ถึงปี 1990
    ฏ. แหล่งทรัพยากร (resources)แหล่งทรัพยากรหลากหลายชนิดทำให้เราสามารถบอกได้ว่า สาขาวิชานั้นๆ คืออะไร เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทช่วยเผยแพร่ขยายขอบเขตของแหล่งทรัพยากร เพื่อช่วยเหลือผู้เรียน
    เทคโนโลยีการศึกเป็นการศึกษาเนื้อหาวิชาจากหลายๆแหล่ง เช่น ธรรมชาติ ห้องสมุด สิ่งตีพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ มิใช่มุ่งเน้นศึกษาจากตำราในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว โดยมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบัน เพื่อเพิ่มอรรถรถ ในการเรียนการสอนให้มากขึ้นกว่าในอดีต

     
  • At 10:43 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    ข่าวเทคโนโลยี

    LearnSquare Thai Opensource e-Learning System
    ปัจจุบันการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในยุคของสังคมเศรษฐกิจฐาน ความรู้มีมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการศึกษา การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือ E-Learning ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายด้วย
    LearnSquare คือ Thai Opensource e-Learning System ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย ทุกที่ ทุกเวลา ในรูปแบบสื่อมัลติมีเดียทั้งบทความ ภาพ เสียง หรือวิดีโอ ที่สามารถโต้ตอบได้เสมือนการเรียนในห้องเรียนปกติซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาส ทางการศึกษาให้กว้างมากขึ้น และมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน
    เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    1. เป็นระบบ Opensource สามารถดาวน์โหลดนำไปใช้งานได้ฟรี ภายใต้เงื่อนไข GPL
    2. สนับสนุนการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows และ Linux
    3. แนวทางพัฒนาตามมาตรฐานสากล (SCORM)
    4. ใช้งานง่ายและสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดตามแนวทางของโอเพ่นซอร์ส
    5 .มีระบบสนับสนุนการทำงานมากมาย เช่น
    ระบบการสมัครเรียน
    ระบบการลงทะเบียน
    ระบบการเรียน
    ระบบการจัดการหลักสูตร
    ระบบการจัดตารางสอน
    ระบบการจัดการผู้ใช้งาน
    ระบบสนทนา เว็บบอร์ด
    ระบบจดหมายอิเลกทรอนิกส์
    ระบบปฏิทินนัดหมาย
    ระบบการติดตามการเข้าเรียน
    ระบบจัดการข้อมูลส่วนตัว
    ระบบสร้างข้อสอบและประเมินผลอัตโนมัติ
    ระบบการออกใบรับรองอัตโนมัติ
    ระบบรายงานสถิติต่างๆ
    ระบบสำรองข้อมูล
    ระบบการกระจายเนื้อหา
    ลักษณะการใช้งาน
    การใช้งานระบบ LearnSquare แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะการใช้งานใหญ่คือ
    ผู้เรียน
    ผู้เรียนสามารถเลือก หรือเข้าเรียนบทเรียนออนไลน์ได้โดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่ รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนหรือผู้เรียนด้วยกัน ร่วมเรียนรู้ ทดสอบ ปฏิบัติผ่านบทเรียนออนไลน์ที่มีรูปแบบรองรับที่หลากหลาย
    ผู้สอน
    ผู้สอนสามารถสร้างวิชาเรียนใหม่ หรือประยุกต์ใช้สื่อการสอนที่ใช้ในการเรียนการสอนปกติมาใช้ร่วมกับระบบ สามารถเปิดหลักสูตรสอนได้ตลอดเวลา ศึกษาพฤติกรรมของผู้เรียนได้อย่างง่ายดายจนสามารถออกใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้เรียนได้
    ผู้ดูและระบบ
    ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการเว็บไซต์ได้อย่างง่ายได้เช่น ข้อมูลผู้ใช้ ปรับแต่งเปลี่ยนค่า และการให้บริการรวมถึงการอำนวยความสะดวกให้กับทุกๆ คนที่อยู่ในระบบได้

     
  • At 10:18 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    สรุป ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา

    นิยามของเทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา สามารถนิยามได้ในลักษณะมโนทัศน์เชิงนามธรรม หรือในลักษณะการฝึกปฏิบัติ ได้ดังนี้
    ก. นิยามในลักษณะมโนทัศน์เชิงนามธรรม “เทคโนโลยีการศึกษา เป็นการศึกษา และการปฏิบัติอันดีงามเพื่อเกื้อกูลการเรียนรู้ และช่วยให้การปฏิบัติดีขึ้น โดยการสร้างสรรค์ การใช้ประโยชน์ และการจัดหาแหล่งทรัพยากร และกระบวนการทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม”
    ข. การปฏิบัติอันดีงาม (ethical practice)คณะกรรมการว่าด้วยจริยธรรมของ AECT (AECT Ethics Committee) ได้กำหนดแนวปฏิบัติด้านจริยธรรม หรือการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม โดยเฉพาะการใช้สื่อ และการเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญา จริยธรรมดังกล่าวไม่มุ่งเน้นเฉพาะ กฎกติกา และความคาดหวัง แต่เน้นวิธีการปฏิบัติด้วย
    ค.ความเกื้อกูล (facilitating) แนวคิดของการเรียนรู้และการสอนที่เปลี่ยนไปสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในทฤษฎีด้านพุทธิพิสัยนิยมและสรรคนิยม ทำให้สมมติฐานเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนการสอน(instruction) กับการเรียนรู้ เปลี่ยนไป
    ง. การเรียนรู้ (learning) ความหมายของการเรียนรู้ หมายถึง ความคงทนของสารสนเทศ (retention of information) ที่วัดได้จากการทดสอบกับการเรียนรู้ที่ต้องแสวงหาทักษะเพื่อใช้ประโยชน์นอกห้องเรียน
    จ. ช่วยทำให้ดีขึ้น (improving) “ช่วยให้การกระทำดีขึ้น” (improve performance) ซึ่งหมายถึง ประสิทธิผลการเรียนรู้ กล่าวคือ กรรมวิธีดังกล่าวนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและคาดการณ์ได้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล และคาดการณ์ได้ ก่อให้เกิดความสามารถและนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
    ฉ. การปฏิบัติ (performance) การปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการใช้ และประยุกต์ความสามารถใหม่ๆที่ได้รับ บทเรียนแบบโปรแกรม (programmed instruction) ยึดแนวทางให้ผู้เรียนต้องปฏิบัติได้ตามจุดประสงค์ปลายทาง (terminal objectives) หน้าที่หลัก 3 ประการของเทคโนโลยีการศึกษา คือ การสร้างสรรค์ (creating) การใช้ประโยชน์ (using) และการจัดการ (managing)
    ช. การสร้างสรรค์ (creating) การสร้างสรรค์ หมายถึง ทฤษฎี ผลการวิจัย และแนวปฏิบัติที่รวมอยู่ในกรรมวิธีโครงสร้างของสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบทั้งแบบในระบบ (formal) และนอกระบบ (informal)
    ซ. การใช้ประโยชน์ (using)การใช้ประโยชน์ หมายถึง ทฤษฎี และแนวปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการนำผู้เรียนไปสัมผัสกับเงื่อนไขและแหล่งการเรียนรู้ การใช้ประโยชน์เริ่มด้วยการเลือกแหล่งทรัพยากร วิธีการ และวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม
    ฌ. ความเหมาะสม (appropriate)ความเหมาะสม หมายถึง การนำวิธีการและทรัพยากรมาใช้อย่างเหมาะสมลงตัวกับจุดประสงค์ที่วางไว้
    ญ. เชิงเทคโนโลยี (technological)เชิงเทคโนโลยี หมายถึง การอธิบายกิจกรรมของมนุษย์บนพื้นฐานของเทคโนโลยี เช่นคำกล่าวที่ว่า“การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือองค์ความรู้ใดๆ อย่างเป็นระบบ
    ฎ. กรรมวิธี (process)กรรมวิธี หมายถึง อนุกรมของกิจกรรมที่มุ่งไปสู่ผลที่ได้ระบุเอาไว้ล่วงหน้า นักเทคโนโลยีการศึกษามักดำเนินการออกแบบ พัฒนา และสร้างแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมวิธีในการพัฒนาการเรียนการสอน (instructional development) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1960 ถึงปี 1990
    ฏ. แหล่งทรัพยากร (resources)แหล่งทรัพยากรหลากหลายชนิดทำให้เราสามารถบอกได้ว่า สาขาวิชานั้นๆ คืออะไร เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทช่วยเผยแพร่ขยายขอบเขตของแหล่งทรัพยากร เพื่อช่วยเหลือผู้เรียน
    เทคโนโลยีการศึกเป็นการศึกษาเนื้อหาวิชาจากหลายๆแหล่ง เช่น ธรรมชาติ ห้องสมุด สิ่งตีพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ มิใช่มุ่งเน้นศึกษาจากตำราในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว โดยมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบัน เพื่อเพิ่มอรรถรถ ในการเรียนการสอนให้มากขึ้นกว่าในอดีต

     
  • At 3:23 AM, Blogger thatsawan said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน
    ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด
    สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)

    การบริหารจัดการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุมชนหรือองค์กร สิ่งที่เราจะต้องไม่มองข้ามตั้งแต่แรกเริ่มก็คือการทำความเข้าใจใน “ปัจจุบัน” และ “อนาคต” ให้กระจ่างแจ้งก่อนว่า “ขณะนี้” เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดใด ? สภาพของเราเป็นอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ชุมชนหรือองค์กรมุ่งหวัง (Purpose / Mission) อะไรคือภาพที่พึงปรารถนา (Vision) หรืออะไรที่เป็นคุณค่าที่เราต้องการ (Value) สิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นเป้าหมายหรือเป็นการกำหนดทิศทางให้กับชุมชน/องค์กรของเราแล้ว ยังเป็นเป้าหมายที่ทำให้ใจของเราจดจ่อ (Focus) อีกด้วย ใจที่จดจ่อของเราก็เช่นกันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพาเราก้าวเดินผ่านปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์
    องค์ประกอบที่ 1 เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และค่านิยม (Value) ของชุมชน/องค์กรโดยรวม
    องค์ประกอบที่ 2 เป็นการระบุเป้าหมายซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวัตถุประสงค์
    องค์ประกอบที่ 3 เป็นการกำหนดกลยุทธ์ (Strategy) กลวิธี (Tactic)
    องค์ประกอบที่ 4 เป็นการพิจารณาปัจจัยหลัก ๆ ที่จะผลักดันให้เราทำงานได้สำเร็จ
    องค์ประกอบที่ 5 เป็นการกำหนดเครื่องมือที่จะใช้สำหรับติดตามและประเมินงานต่อไป
    การจัดการความรู้เชิงยุทธศาสตร์
    เป็นการนำเสนอการจัดการความรู้ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับการบริหารเชิงยุทธศาสตร์อนาคตที่พึงประสงค์เปรียบได้กับบันไดขั้นที่ 5 บันไดขั้นที่ 4 ก็คือการกำหนดยุทธศาสตร์ปัจจัยความสำเร็จ และบันไดขั้นที่ 3 ก็คือ การกำหนด KPI หรือดัชนีชี้วัด Performance ที่ต้องการ ส่วนบันไดขั้นที่ 2 ก็คือ Required Competency หรือความสามารถหลักที่ต้องมี ส่วนบันไดขั้นที่ 1 คือการประเมินศักยภาพและความสามารถในปัจจุบันขององค์กร
    โมเดลการจัดการความรู้
    ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เป็นการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน จะเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองหรืออาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน (Peer Assist) มีการศึกษาวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ได้ผลพร้อมทั้งค้นหาเหตุผลด้วยว่าเป็นเพราะอะไร และจะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้กับงานที่กำลังจะทำนี้ได้อย่างไร
    วงจรการเรียนรู้ เป็นการเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการ “ค้นหา” แหล่งความรู้ต่าง ๆ (Source of Knowledge : SoK) ที่อยู่ข้างนอก ซึ่งอาจจะเป็นตัวบุคคล (ผู้ชำนาญการ) วิธีปฏิบัติชั้นเยี่ยม (Best Practice) ข้อมูลที่ได้จาก Website หรือ ความรู้ที่ได้จากการ “คบหา” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งต่อหน้า (Face to Face) หรือผ่าน Virtual Community โดยที่จะต้องสามารถ “คว้า” เอาความรู้ที่ต้องการมาใช้โดยไม่ลืมขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้อง และการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมด้วย
    ปัจจัยนำเข้าหรือ Input ที่ถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการจัดการความรู้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็คือเรื่อง “ภาวะผู้นำ” การจัดการความรู้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “คน” คนจะไม่ยอม “ถูกจัดการ” แต่จะต้องอาศัยใช้สิ่งที่เรียกว่าภาวะผู้นำเท่านั้น ตั้งแต่การสร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน (Shared Purpose) การกำหนดหลักการสำคัญ (Set Principles) ไว้เพื่อให้แนวทางตลอดจนการปรับมุมมองหรือกรอบแนวความคิดให้อยู่ภายใต้ฐานความคิดที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ตั้งแต่แรก

     
  • At 11:46 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    ข่าวเทคโนโลยี

    ITS เทคโนโลยีปฏิรูปการเดินทาง
    โดย มนต์ศักดิ์ โซ่ธรรมเจริญ , กานตวี ปานสีทา
    ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติการพัฒนาเทคโนโลยี นับเป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ในการนำเอาความรู้ในหลายๆ ด้าน มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ก็เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการใช้ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะศาสตร์ด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อช่วยให้ประชาชนและสังคม สามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ หรือ ITS-Intelligent ransport Systems เป็นระบบที่หลอมรวมเอาเทคโนโลยีด้านข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคม มาผสมผสานให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน เช่น เทคโนโลยีประมวลผลภาพ (Image Processing) เทคโนโลยีการระบุตัวตนด้วยความถี่คลื่นวิทยุ(RFID) เทคโนโลยี การสื่อสารไร้สาย(Wireless Communication) เทคโนโลยีรู้จำเสียง (Voice Recognition) เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) เทคโนโลยีคลังข้อมูล (Data Mining) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Data Warehouse) เทคโนโลยีตรวจจับหรือรับรู้(Sensor) เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง การควบคุม การติดตาม รวมไปถึงความปลอดภัยในการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้ จะสามารถบริหารจัดการการจราจรให้เป็นระบบ และตอบสนองต่อความจำเป็นของการขนส่งและเดินทางในประเทศได้ในระดับหนึ่ง เช่น ช่วยลดอุบัติเหตุ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหาสิ่งแวดล้อม
    ท่านสามารถทดลองใช้ระบบดังกล่าวได้ที่ http://traffic.thai.net

     
  • At 11:25 PM, Blogger babytong said…

    การจัดการความรู้…สู่อนาคตที่ใฝ่ฝัน
    ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด
    สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
    การบริหารจัดการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุมชนหรือองค์กร สิ่งที่เราจะต้องไม่มองข้ามตั้งแต่แรกเริ่มก็คือการทำความเข้าใจใน “ปัจจุบัน” และ “อนาคต” ให้กระจ่างแจ้งก่อนว่า “ขณะนี้” เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดใด ? สภาพของเราเป็นอย่างไร ? เราจะต้องพยายามตอบคำถามเหล่านี้อย่างเป็นกลางให้มากที่สุด โดยจะต้องไม่เข้าข้างตัวเอง
    เป้าหมายที่เราตั้งไว้ในอนาคตนี้นอกจากจะเป็นการกำหนดทิศทางให้กับเราแล้ว ยังเป็นเป้าหมายที่ทำให้ใจของเราจดจ่อ (Focus) อีกด้วย ใจที่จดจ่อนี้ถือได้ว่ามีพลังอย่างยิ่ง เปรียบได้กับการที่เราเอาเลนซ์นูนมาวางรับแสงอาทิตย์ เลนซ์นูนสามารถรวมลำแสงจนสามารถเผากระดาษหรือใบไม้แห้งให้ลุกเป็นไฟได้ ใจที่จดจ่อของเราก็เช่นกันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพาเราก้าวเดินผ่านปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้
    บทความนี้พยายามจะตอบคำถามดังกล่าวจากมุมมองของการบริหารเชิงยุทธศาสตร์และการจัดการความรู้(Knowledge Management หรือที่จะขอเรียกย่อๆว่า KM)
    การบริหารเชิงยุทธศาสตร์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
    องค์ประกอบที่ 1 เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) และค่านิยม (Value) ของชุมชน/องค์กรโดยรวมว่าต้องการจะเห็นชุมชน/องค์กรเป็นอะไร ?
    องค์ประกอบที่ 2 เป็นการระบุเป้าหมายซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวัตถุประสงค์ ทั้งนี้เพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่าเราทำสิ่งที่ทำอยู่นี้ไปทำไม (Why) และอะไร (What) คือผลลัพธ์ที่เราต้องการ
    องค์ประกอบที่ 3 จัดว่าเป็นหัวใจของกระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นการกำหนดกล-ยุทธ์ (Strategy) กลวิธี (Tactic) เป็นการวางแนวทาง เสนอวิธีการหรือเครื่องมือที่จะทำให้สามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
    องค์ประกอบที่ 4 เป็นการพิจารณาเพื่อระบุว่ามีอะไรบ้างที่ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่จะผลักดันให้เราทำงานได้สำเร็จ โดยที่ปัจจัยเหล่านี้มักจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผนงานและทรัพยากรที่จำเป็น เช่น คน เครื่องมือ หรืองบประมาณ
    องค์ประกอบที่ 5 เป็นการกำหนดเครื่องมือที่จะใช้สำหรับติดตามและประเมินงานต่อไป ซึ่งก็ได้แก่การกำหนดตัวชี้วัดหลัก ๆ ที่มักเรียกกันทั่วไปว่า KPI (Key Performance Indicator) KPI ที่ดีจะต้องมีจำนวนไม่มากจนเกินไป คือต้องเลือกเฉพาะตัวหลัก ๆ เท่าที่จำเป็น
    สรุป
    สังคมไทยห่างไกลจากการเป็น “สังคมการเรียนรู้” เพราะในอดีตที่ผ่านมาเรามักจะทิ้งภารกิจที่สำคัญยิ่งนี้ไว้กับระบบการศึกษาของชาติ มาถึงวันนี้เราต่างก็ได้ตระหนักกันดีแล้วว่าการเรียนรู้เป็นพันธกิจแห่งชีวิตที่คนทุกคนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในชุมชนหรือในองค์กรก็ตาม ต่างจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในขณะเดียวกันก็ใจกว้างพอที่จะเป็นผู้ให้ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มุ่งมั่นใฝ่ฝัน ซึ่ง KM น่าจะเป็นกลไกที่ทำให้ฝันนี้เป็นจริงขึ้นมาได้
    นพวรรณ เฉลิมพันธ์
    รหัส 50063706

     
  • At 11:39 PM, Blogger babytong said…

    เอสเอพีตั้งภัทรลุยเจาะตลาดทั้งใหญ่เล็ก
    เอสเอพีตั้ง ภัทร ยงวณิชย์ เป็นเอ็มดีคนใหม่ของบริษัท โดยดูแลและรับผิดชอบการดำเนินงานของเอสเอพีและวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจของเอสเอพีในตลาดไทย
    บริษัท เอสเอพี (ประเทศไทย) ประกาศแต่งตั้งนายภัทร ยงวณิชย์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ของบริษัท เอสเอพี (ประเทศไทย) จำกัด โดยดูแลและรับผิดชอบการดำเนินงานของเอสเอพีและวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจของเอสเอพีในตลาดไทยซึ่งเป็นตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังดำรงตำแหน่งหนึ่งในผู้บริหารอาวุโสระดับภูมิภาค ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนการขับเคลื่อนการเติบโตของเอสเอพีให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และสร้างความคุ้มค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย

    นายภัทรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการธุรกิจและเทคโนโลยีระดับอาวุโส มีประสบการณ์ทางด้านการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและวางระบบซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีระดับองค์กร ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินธุรกิจให้แก่องค์กรต่างๆ รวมทั้งมีความรู้ความชำนาญทางด้านการพัฒนาหลักธรรมาธิบาลระดับสากลและการวางทิศทางในเชิงกลยุทธ์

    นายภัทร ยงวณิชย์ กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของบริษัท เอสเอพี ประเทศไทย กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลและขยายธุรกิจของเอสเอพีในประเทศไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เอสเอพีในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำแก่ธุรกิจทุกแขนง เอสเอพีได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการให้บริการที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้ามีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นและได้รับความคุ้มค่าสูงสุด ภายใต้ปณิธานที่มุ่งเสริมสร้างความสำเร็จให้แก่ลูกค้า”

    ตลอดระยะเวลาที่ได้ร่วมงานกับเอสเอพี นายภัทรดำรงตำแหน่งผู้บริหารหลากหลายตำแหน่งทั้งทางด้านการพัฒนา การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ การให้บริการ ณ สถานที่ทำการของลูกค้า และการบริหารการขายในภูมิภาคอเมริกา เอเชีย แปซิฟิก และญี่ปุ่น โดยล่าสุด ดำรงตำแหน่งรองประธานด้านการบริหารงานลูกค้าระดับโลก ประจำภูมิภาคตะวันตก บริษัท เอสเอพี สหรัฐอเมริกา ซึ่งดูแลและรับผิดชอบในการบริหารงานลูกค้าระดับโลก รวมทั้งการบริหารโครงการที่มีมูลค่าสูงสุดระดับภูมิภาคสำหรับลูกค้ารายใหญ่สุดในภูมิภาคดังกล่าว อาทิ เชฟรอน ฮิวเล็ตต์ แพคการ์ด อินเทล ไมโครซอฟท์ และไนกี้

    นายภัทรสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ และปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล และปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา
    ที่มาhttp://technology.msnth2.com/article.asp?id=6188

     
  • At 1:26 AM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    ข่าวเทคโนโลยี

    ฮอนด้าเรืองแสงคันแรกของโลก
    ฮอนด้าร่วมมือกับวิศวกรไทย โชว์จักรยานยนต์ต้นแบบผสมสารเคมีเรืองแสงในตัวถังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืน กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายฌัชชานนท์ ยงรัมย์ นักออกแบบจากศูนย์วิจัยและพัฒนาฮอนด้า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ทีมวิจัยและพัฒนาฮอนด้า ประเทศไทย ได้พัฒนารถจักรยานยนต์ต้นแบบ รุ่น ‘ฮอนด้า เรน’ ที่เพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย โดยออกแบบให้กระจังหน้ารถ และตัวรถสามารถเปล่งแสงสีต่างๆ จากชิ้นส่วนตัวถังรถได้ ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มอเตอร์ไซค์ต้นแบบสามารถเปล่งแสงสว่างได้ 5 สี ได้แก่ สีแดง เขียว เหลือง และน้ำเงิน จากการเติมสารเคมีลงในเนื้อพลาสติกช่วยเพิ่มคุณสมบัติเรืองแสง โดยอาศัยกำลังไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์ ทีมพัฒนายังได้ทดลองใช้วัสดุชนิดใหม่ในการทำโครงสร้างรถ โดยเลือกใช้คาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงเคลือบตัวถังแทนวัสดุอะลูมิเนียม ซึ่งมีน้ำหนักมาก คาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้เป็นวัสดุเกรดเดียวกันกับที่ใช้ทำโครงสร้างรถแข่ง ขณะเดียวกัน มอเตอร์ไซค์ต้นแบบได้เปลี่ยนระบบจ่ายน้ำมันจากระบบหัวฉีดธรรมดามาเป็นหัวฉีดรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานได้ 25% จักรยานยนต์ต้นแบบรุ่นดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้มีความคล่องตัว โดยทดสอบสมรรถนะการขับขี่ ก่อนผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดยรถจักรยานยนต์รุ่นนี้เป็นจักรยานยนต์แบบสปอร์ต น้ำหนักเบากว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไปกว่าครึ่งหนึ่ง พร้อมทั้งติดตั้งระบบจีพีเอส หรือแผนที่นำทางผ่านดาวเทียม ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ด้วย
    นอกจากมอเตอร์ไซค์ต้นแบบแล้ว ฮอนด้ายังได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้น
    อาทิเช่น เครื่องบินฮอนด้าเจ็ท รถจักรยานยนต์เรืองแสงได้ในความมืด เครื่องตัดหญ้าขนาดจิ๋วหมุนได้ 360 องศา ซึ่งออกแบบโดยทีมวิศวกรรมชาวไทย เทคโนโลยีเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน เช่น รถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิง เซลล์แสงอาทิตย์แบบฟิล์มบาง ที่ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง เครื่องจำลองการขับขี่ปลอดภัย เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มาร่วมแสดงในงาน “สุดยอดงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมอุตสาหกรรมไทย” ที่อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ย. รวมถึงนวัตกรรมจากบริษัทชั้นนำของไทย เช่น ปูนซิเมนต์ไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

     
Post a Comment
<< Home
 
About Me

Name: Dr.Supit
Home: Bangkok, Thailand
About Me: I am an Educating Educator!
See my complete profile
Previous Post
Archives
Links
Powered by

Free Blogger Templates

BLOGGER

© Education Unlimited Template by Isnaini Dot Com