Other things |
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus. |
Other things |
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus. |
Other things |
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus. |
Other things |
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus. |
Other things |
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus. |
|
Edtech Research Homeworks 1 |
Sunday, November 04, 2007 |
Please post your comments for homeworks here...... |
posted by Dr.Supit @ 7:56 AM  |
|
10 Comments: |
-
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ถ้าสมมุติเราให้ C1___Cn แทนสาเหตุ (ในงานวิจัยจะเรียกว่าตัวแปรอิสระ) และ E แทนผล (ซึ่งก็เรียกในงานวิจัยว่าตัวแปรตาม) ก็สามารถเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการวิจัยทั้งสองวิธีได้ดังนี้ ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) เช่น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงหรือนักศึกษาจึงไปขายบริการทางเพศ หรือขายมาแล้วกี่ครั้ง ถ้าหากไปแจกแบบสอบถามคงไม่มีใครตอบหรอกว่าทำไมเขาถึงทำ หรือทำมาแล้วมากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก ไม่สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเลขทางสถิติ ดังนั้นเราต้องเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของผู้หญิงกลุ่มนี้ อาจเป็นในสถานอาบอบนวดหรือสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ มีการพูดคุยชนิดที่เรียกว่าเจาะลึก (indepth interview) และถ้าเป็นผู้ชายไปถามเขาอาจไม่ตอบก็ได้ เพื่อดูว่าเขาให้ความหมายและคุณค่ากับอะไรในชีวิต เช่น “พรหมจรรย์” หรือ “เงิน” หรือ “เกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เมื่อได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความสร้างข้อสรุปว่าทำไมผู้หญิงถึงขายตัวหรือเป็นโสเภณี ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้ 1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล 2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research) 3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ 5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ
การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้ การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง 1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ 1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล 1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ 1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี 1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้ 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ 2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E 2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y 3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable) ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น 2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้ 4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้ 4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผต่อตัวแปรตามมากที่สุด 4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้ 4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้ 1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร 2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย 3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม 4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น 4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าควมสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น 5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว 5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง 5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น 1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด 2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร 3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง 5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย 5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม 6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ 6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด 6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง 6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด
-
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 1.นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 2.การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ข้อดี 1.ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น 2.เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น 3.ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป ข้อด้อย 1.เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ 2.การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable) 3.การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้
การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้ การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ -เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล -เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ -เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี -เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น -เพื่อนำผลการทดลองไปใช้ การวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ -กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E -กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C ตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 1. ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 2. ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y 3. ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable) ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น 2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้ การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้ -เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด -ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้ -ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้ 1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร 2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย 3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม -การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น -การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าความสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น การวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้ -หรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว -ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง -แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น 1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด 2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร 3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง -การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย -การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ -ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด -เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น -ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง -ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด
การวิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative method การปฏิบัติกระทำกับข้อมูล ที่แจงนับไม่ได้ (หรือไม่เป็นตัวเลข) นั่นคือ ไม่ได้ใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติมาวิเคราะห์ทั้งหมด เน้นการสร้างแนวคิด การตีความเพื่อให้เกิดความเข้าใจในมนุษย์และสังคม ใช้การสังเกต สัมภาษณ์ สนทนาและจดบันทึก ให้ความสำคัญกับข้อมูลประเภทอัตชีวประวัติ โลกทัศน์และความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้สถิติชั้นสูงในการวิเคราะห์ แต่ใช้การอุปมาน (induction approach) ยุทธวิธีในการวิจัย เป็นการทำวิจัยในสภาพธรรมชาติ: ไม่มีการจัดหรือควบคุมสภาพแวดล้อม ผู้วิจัยจะสรุปปัญหาด้วยตรรกะแบบอุปนัย (Induction) มองภาพรวมรอบๆ ด้าน (Holistic Perspective) เน้นข้อมูลเชิงคุณภาพ เน้นกระบวนการพลวัต (Dynamic) เน้นเกี่ยวกับบริบท (Contextual) วิธีการวิจัยมีความยืดหยุ่นสูง เน้นความรู้สึกร่วม ความเข้าใจ (Empathy and insight) คุณภาพของผู้วิจัย: ต้องเป็นกลาง วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นความเข้าใจ ความหมาย ไม่ใช่ความถูกต้อง โดยไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทดสอบสมมติฐาน และนัยสำคัญทางสถิติ ความแตกต่างในการเก็บข้อมูล การวิจัยเชิงคุณภาพ –เน้นการวิจัยภาคสนาม –จำนวนหน่วยการศึกษาน้อย –ไม่มีโครงสร้างคำถามตายตัว ความแตกต่างในลักษณะของข้อมูล - ต้องการหาข้อมูลประเภท “ทำไม” และ “อย่างไร” มากกว่าแค่ใครทำอะไรเท่านั้น - ให้ความสำคัญกับความหมายในทัศนะของผู้ตอบ ไม่ใช่ผู้ศึกษา ความแตกต่างในการวิเคราะห์ข้อมูล - ไม่จำเป็นต้องใช้สถิติขั้นสูง - เน้นการอธิบายระบบโดยรวม ข้อเด่น –มีความต้องการข้อมูลที่รอบด้าน –มีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายปรากฏการณ์อย่างลึกซึ้ง –ต้องการเข้าใจระบบความคิด ระบบความเชื่อของผู้ตอบโดยตรง –แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่ม –ค้นหาสาเหตุและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ –เก็บข้อมูลจากบุคคลที่ได้เลือกสรรมาอย่างดีแล้ว ข้อจำกัด –เป็นงานที่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะ –ความแม่นตรงเชื่อถือได้ของเทคนิคการเก็บรวบรวมยากจะทดสอบ –ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยและประชากรที่ศึกษา –ไม่มีโครงสร้างการเก็บข้อมูลที่แน่นอน จึงยากต่อการนำไปใช้ซ้ำ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured Interview) หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) การสนทนากลุ่ม (Focus Group interview) การสังเกตโดยตรง (Direct Observation) การวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสาร (Content Analysis of Written Material) เทคนิคการสัมภาษณ์ส่วนบุคคลเชิงลึก อยู่ในบรรยากาศเป็นส่วนตัว เป็นการสื่อความหมายแบบโต้ตอบกันทั้ง 2 ฝ่าย ต้องใช้เทปบันทึกเสียง ไม่มีคำถามตายตัว ถามกี่คน?: หยุดเมื่อคำตอบเริ่มเหมือนกันมากขึ้น และสรุปผลได้ในที่สุด ความเชื่อถือและไว้วางใจในคุณภาพ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ความเชื่อถือได้ (Credibility): ความสอดคล้องของข้อมูล และการตีความของผู้วิจัย เกี่ยวกับความจริงกับความคิดของผู้ให้ข้อมูลว่าสอดคล้องกันหรือไม่ การพึ่งพากับเกณฑ์อื่น (Dependability): ใช้นักวิจัยหลายคนร่วมสังเกต การถ่ายโอนผลการวิจัย (Transferability): สามารถใช้ผลงานนี้ไปอ้างอิงกับงานอื่นที่คล้ายคลึงกันได้ การยืนยันผลการวิจัย (Confirm ability): เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นที่คล้ายกัน ทำให้มองเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้น
-
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ตามปกติเมื่อมีปรากฏการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น มนุษย์ที่เป็นนักวิจัยก็มักจะพุ่งความสนใจโดยตั้งคำถามให้กับตนเองในทำนองที่ว่า “อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์นั้น ๆ หรือ ปรากฏการณ์นั้น ๆ เกิดได้อย่างไร” เพื่อที่จะได้คำตอบต่อคำถามนี้ นักวิจัยก็พยายามแล้วทำการสังเกตดูสิว่าจะเกิดผลเป็นปรากฏการณ์ดังที่เกิดขึ้นหรือไม่ลักษณะการกระทำเช่นนี้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า นักวิจัยคนดังกล่าวกำลังใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองแต่อย่างไรก็ตามในบางปรากฏการณ์ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์นั้น นักวิจัยไม่อาจทำการทดลองสร้างเหตุเพื่อสังเกตผลได้ นักวิจัยทำได้เพียงแต่รับรู้ผลแล้วพยายามหาสาเหตุต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกันเพื่อจะดูสิว่า สาเหตุใดกันแน่ที่ทำให้เกิดผลนั้น วิธีการกระทำเช่นนี้บอกให้เรารู้ว่า นักวิจัยกำลังใช้วิธีการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ สาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้ 1.นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 2.นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 3.การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างแบบแผนการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุและการเลือกสุ่มตัวอย่าง ลักษณะแบบแผนการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุที่เป็นแบบพื้นฐานง่ายที่สุดก็จะเป็นแบบแผนที่มีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มตามลักษณะตัวแปรอิสระ (หรือสาเหตุ) ที่ผู้วิจัยจำแนกไว้เพื่อศึกษา และถ้าเป็นแบบแผนที่ซับซ้อนขึ้นก็เป็นแบบแผนที่มีการเพิ่มกลุ่มตัวอย่างหลายกลุ่มตามลักษณะตัวแปรอิสระ (หรือสาเหตุ) นั่นเอง การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ สามารถจะใช้เครื่องมือใด ๆ เก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะข้อมูลที่ต้องการ เช่น อาจใช้แบบสอบถาม แบบทดสอบประเภทต่าง ๆ การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นต้น สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ก็ใช้ได้ทั้งสถิติภาคบรรยาย และสถิติอ้างอิง (ในกรณีที่มีการสุ่มตัวอย่าง) สำหรับการใช้สถิติอ้างอิงก็อาจใช้ t-test เพื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ใช้การวิเคราะห์จำแนกกลุ่ม (Discriminant Analysis) หรือ X2-test ทั้งนี้จะเลือกใช้สถิติใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและสมมติฐานที่ผู้วิจัยต้องการทดสอบงานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ จากลักษณะของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นอาจสรุปข้อดี ข้อจำกัดได้ดังนี้ ข้อดี 1.ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น 2.เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น 3.ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป ข้อด้อย 1.เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ 2.การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable) 3.การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้ การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้ การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง 1.ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ 1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล 1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ 1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี 1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้ 2.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ 2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E 2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C 3.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y 3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable) ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น 2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้ 4.การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้ 4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด 4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้ 4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้ 1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร 2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย 3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม 4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น 4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าความสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
5.ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว 5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง 5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น 1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด 2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร 3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง 5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย 5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม 6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ 6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด 6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง 6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด การวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การเตรียมตัวทำงานในสนาม “สนาม” ในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ พื้นที่ที่เราจะเข้าไปศึกษาอาจเป็นชุมชน หมู่บ้าน กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งจะตอบปัญหาที่เราต้องการได้ ผู้วิจัยต้องมีการเตรียมตัวเข้าสนามเริ่มตั้งแต่เตรียมภาษาท้องถิ่น การแต่งกายที่ผสมกลมกลืนกับคนในสังคมนั้นซึ่งจะทำให้อยู่ในที่นั้นได้ดี รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น สมุดบันทึก ดินสอ กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียง เมื่อเข้าสนามอาจบอกหรือไม่บอกว่าผู้วิจัยเป็นใครก็ได้ เพราะหากคนในสนามทราบว่าเราเป็นใครอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ แต่หากบอกวิธีดีที่สุด คือ การบอกความจริงว่าเราเป็นใคร มาทำอะไร อาจมีจดหมายแนะนำหรือใช้คนอื่นเป็นสื่อกลางก็ได้ มีการสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกกับคนในสังคมนั้นเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เช่น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเริ่มทำงานอาจเริ่มต้นด้วยการทำแผนที่ (mapping) ของชุมชนโดยการเดินสำรวจ การเลือกตัวอย่างที่จะศึกษา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เรียกว่าขั้นตอนของการเข้าสนามซึ่งนักวิจัยต้องศึกษาและเตรียมพร้อมทั้งก่อนเข้าสนามและในขณะอยู่ในสนาม 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อลงพื้นที่เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ให้ผู้วิจัยหยุดพักการใช้แนวคิดหรือทฤษฎีที่ได้ศึกษามาไว้ชั่วคราว โดยนำตัวเองเข้าไปสัมผัสปรากฎการณ์และพยายามเข้าให้ถึงวิธีอธิบายปรากฎการณ์แบบคนใน (insider) โดยใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 การสังเกต (Observation) การสังเกตในวิจัยเชิงคุณภาพมี 2 แบบ คือ 2.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วนร่วม (participation observation) คือ การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มคนที่ศึกษา มีการกระทำกิจกรรมด้วยกันจนกระทั่งเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความหมายที่คนเหล่านั้นให้ต่อปรากฎการณ์ทางสังคมที่ผู้วิจัยศึกษา ซึ่งเมื่อสังเกตแล้วจะต้องมีการซักถามและการจดบันทึกข้อมูล (notetaking) ด้วย 2.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non-participation observation) คือ การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปใช้ชีวิตร่วมหรือกิจกรรมกับกลุ่มคนที่ศึกษา โดยไม่ต้องการให้ผู้ถูกสังเกตรู้สึกรบกวนเพราะอาจทำให้พฤติกรรมผิดไปจากปกติได้ ซึ่งอาจใช้ในระยะแรกของการวิจัยแล้วใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมในระยะหลัง การสังเกตโดยปกติมีสิ่งที่ต้องสังเกตอยู่ 6 ประการ ได้แก่ 1. การกระทำ คือ การใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหาร การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน 2. แบบแผนการกระทำ คือ การกระทำหรือพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการ มีขั้นตอนจนเป็นแบบแผน ชี้ให้เห็นสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของสมาชิก 3. ความหมาย คือ การให้ความหมายของการกระทำหรือแบบแผนพฤติกรรมนั้น 4. ความสัมพันธ์ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนหรือสังคมนั้น 5. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสมาชิก คือ การที่บุคคลยอมร่วมมือในกิจกกรมนั้น ๆ 6. สภาพสังคม คือ ภาพรวมทุกแง่ทุกมุมที่สามารถประเมินได้ 2.2 การสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์เป็นการเจาะลึกประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจ อาจใช้สัมภาษณ์เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ มีหลายประเภท อาจแบ่งได้ดังนี้ 2.2.1 การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ (formal interview) หรือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยได้เตรียมคำถามและข้อกำหนดไว้แน่นอนตายตัว โดยปกตินักวิจัยเชิงคุณภาพมักจะไม่ใช้วิธีการนี้เป็นหลัก เพราะไม่ได้ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้งและครอบคลุมเพียงพอโดยเฉพาะในแง่ของวัฒนธรรม ความหมายและความรู้สึกนึกคิด 2.2.2 การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (informal interview) มักจะใช้ควบคู่ไปกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม โดยเตรียมคำถามกว้าง ๆ มาล่วงหน้า การสัมภาษณ์แบบนี้อาจแบ่งออกได้อีก คือ การสัมภาษณ์โดยเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (indepth interview) การตะล่อมกล่อมเกลา (probe) เป็นการซักถามที่ล้วงเอาส่วนลึกของความคิดออกมา และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informant interview) โดยกำหนดตัวผู้ตอบบางคนแบบเจาะจงเพราะมีข้อมูลที่ดี ลึกซึ้ง กว้างขวางเป็นพิเศษ รวมถึงการเงี่ยหูฟัง (eavesdropping) จากคำสนทนาของผู้อื่นโดยผู้วิจัยไม่ต้องตั้งคำถามเองก็เป็นเทคนิคของการวิจัยเชิงคุณภาพอีกอย่างหนึ่ง ตลอดจนการสนทนากลุ่ม (focus group discussion) โดยการจัดกลุ่มสนทนา ประมาณ 8 - 12 คน ที่มีคุณลักษณะบางประการคล้ายคลึงกัน ในการสัมภาษณ์มีขั้นตอนที่สำคัญ คือ การแนะนำตัว การสร้างความสัมพันธ์ การบันทึกคำตอบ การใช้ภาษา ตลอดจนเวลาและสถานที่ที่ใช้สัมภาษณ์ 2.3 วิธีการอื่น ๆ นอกจากการสังเกตและการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นวิธีการหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว อาจใช้วิธีการอื่น ๆ ได้ เช่น แบบสำรวจ แบบสอบถาม การศึกษาจากเอกสารซึ่งปกติจำแนกเป็นเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง โดยเอกสารชั้นต้น คือ เอกสารที่เป็นต้นฉบับ ส่วนเอกสารชั้นรอง คือ เอกสารที่มีผู้รวบรวมเอาไว้แล้ว ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอาจใช้อุปกรณ์ เช่น กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงหรือวีดีโอเทป เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ 3. การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากที่ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่จะต้องทำ คือ การตรวจสอบข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งอาจทำไปพร้อมกับการเก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ การตรวจสอบข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพที่นิยมใช้กัน เรียกว่า การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) ได้แก่ การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล โดยพิจารณาแหล่งเวลา แหล่งสถานที่และแหล่งบุคคลที่แตกต่างกัน คือ ถ้าข้อมูลต่างเวลากันจะเหมือนกันหรือไม่ ถ้าข้อมูลต่างสถานที่จะเหมือนกันหรือไม่ และถ้าบุคคลผู้ให้ข้อมูลเปลี่ยนไปข้อมูลจะเหมือนเดิมหรือไม่ การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย โดยเปลี่ยนตัวผู้สังเกต และการตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ กันเพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องเดียวกัน เช่น ใช้วิธีสังเกตควบคู่ไปกับการซักถาม สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพมักจะไม่ใช้สถิติช่วยในการวิเคราะห์ จะใช้แนวคิดทฤษฎีเป็นกรอบในการวิเคราะห์ โดยวิธีการหลักที่ใช้มี 2 วิธี คือ วิธีแรกเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ซึ่งได้จากการสังเกตและการสัมภาษณ์ที่ได้จดบันทึกไว้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือปรากฏการณ์ที่มองเห็น โดยผู้วิจัยได้เห็นหลาย ๆ เหตุการณ์และได้ทำการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าแล้วก็สามารถลงมือเขียนเป็นประโยคหรือข้อความเพื่อสร้างข้อสรุปได้ตามกรอบแนวคิดทฤษฎีหรือเพื่อตอบปัญหาของการวิจัย ข้อมูลที่ไม่ต้องการจะถูกกำจัดออกไปได้ วิธีที่สองเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ซึ่งได้จากการศึกษาเอกสาร (Document Research) ในการวิเคราะห์เอกสารผู้วิจัยต้องคำนึงถึงบริบท (context) หรือสภาพแวดล้อมของข้อมูลเอกสารที่นำมาวิเคราะห์ประกอบด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสองวิธีนี้จะเป็นข้อความแบบบรรยาย (descriptive) ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับประเด็นหรือปัญหาที่จะวิเคราะห์และการเลือกของนักวิจัย ดังนั้นการมีกรอบความคิดหรือทฤษฎีที่หลากหลายจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งและสร้างข้อสรุปที่หนักแน่น 4. การเขียนรายงาน ในขั้นสุดท้ายของการวิจัย คือ การเขียนรายงานผลการวิจัย เพื่อนำเสนอผลงานที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยว่าได้ค้นพบความจริงหรือได้ความรู้ใหม่ ๆ อะไรบ้าง การเขียนรายงานต้องเตรียมเนื้อหาให้มีสาระครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ต้องวางเค้าโครงของรายงานก่อนแล้วจึงลงมือเขียนและต้องให้สอดคล้องกับประเภทของผู้อ่าน มีความถูกต้อง รัดกุม ชัดเจน มีความกลมกลืน ต่อเนื่อง เชื่อมโยงโดยหลักเหตุผล เน้นประเด็นสำคัญ และภาษาที่ใช้ต้องเป็นวิชาการหรือเป็นแบบทางการไม่ใช่ภาษาพูด หากมีข้อความใดน่าสนใจมีความหมายที่เป็นภาษาพูดให้ใช้เครื่องหมาย “……….” ได้
-
ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ (Causal-Comparative Research) หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมุติฐานการวิจัยได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน ข้อดี 1. ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤคิกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น 2. เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น 3. ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป ข้อด้อย 1. เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ 2. การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable) 3. การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้
การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) เช่น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงหรือนักศึกษาจึงไปขายตัว หากไปแจกแบบสอบถามคงไม่มีใครตอบหรอกว่าทำไมเขาถึงขายตัว ขายมาแล้วกี่ครั้ง ซึ่งไม่มีความหมายอะไรและทดสอบไม่ได้ด้วยค่าทางสถิติ เราต้องเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของผู้หญิงกลุ่มนี้ อาจเป็นในสถานอาบอบนวดแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ ต้องไปพูดคุยแบบเจาะลึก (indepth interview) กับเขาดูว่าเขาให้ความหมายและคุณค่ากับอะไร “พรหมจรรย์” หรือ “เงิน” และถ้าเป็นผู้ชายไปถามเขาอาจไม่ตอบก็ได้ เมื่อได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความสร้างข้อสรุปว่า ทำไมผู้หญิงถึงขายตัวหรือไปเป็นโสเภณีได้ เขาให้ความหมายและคุณค่าอะไร การจะเลือกใช้วิธีการวิจัยอย่างไรนั้นต้องดูลักษณะของเรื่องที่จะทำการวิจัยด้วย โดยทั่วไปลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพจะมีลักษณะดังนี้ 1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล 2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research) 3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ 5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรมโดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ เทคนิคของวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ 1. การเตรียมตัวทำงานในสนาม 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล 2.1 การสังเกต (Observation) การสังเกตในวิจัยเชิงคุณภาพมี 2 แบบ คือ 2.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วนร่วม (participation observation) 2.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non-participation observation) 2.2 การสัมภาษณ์ (Interview) 2.2.1 การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ (formal interview) 2.2.2 การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (informal interview) 2.3 วิธีการอื่น ๆ เช่น แบบสำรวจ แบบสอบถาม การศึกษาจากเอกสารซึ่งปกติจำแนกเป็นเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง โดยเอกสารชั้นต้น คือ เอกสารที่เป็นต้นฉบับ ส่วนเอกสารชั้นรอง คือ เอกสารที่มีผู้รวบรวมเอาไว้แล้ว ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอาจใช้อุปกรณ์ เช่น กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงหรือวีดีโอเทป เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ 3. การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้วิจัยทำการวิจัยหรือทำการทดลอง โดยควบคุมตัวแปรหรือสภาพการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี
ลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองส่วนมากจะดำเนินการในห้องปฏิบัติการ และมีการดำเนินการเป็นส่วนมากในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ (laboratory experimentation) ต่อมาได้มีการนำวิธีการมาใช้ในสาขาวิชาทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ วึ่งทำการทดลองศึกษากับนักเรียนและใช้ห้องเรียนแทนห้องปฏิบัติการ ซึ่ง Kerlinger (1973) ได้เรียกชื่อว่า การทดลองนอกห้องปฏิบัติการ (field experimentation) การวิจัยเชิงทดลองในด้านการศึกษานั้นผู้วิจัยจะจัดดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งเร้าหรือตัวแปรต้น และสภาพแวดล้อมในการทดลอง แล้วสังเกตพฤติกรรมหรือสภาพของผู้ที่ถูกทำการทดลองว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ในการดำเนินการทดลองนี้ ผู้วิจัยจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยพยายามกำจัดหรือควบคุมองค์ประกอบนั้นๆ ในการทดลอง เพื่อที่จะได้ลงสรุปผลการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าหรือตัวแปรต้นที่ผู้วิจัยจัดดำเนินการและผลที่ได้จากการทดลองหรือตัวแปรตามในเชิงเหตุและผล เราจะเห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายในระยะใกล้ของการวิจัยเชิงทดลองก็คือ ต้องการพยากรณ์เหตุการณ์หรือผลที่จะได้จากการทดลอง และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือต้องการที่จะลงความ (generalize) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามในเชิงเหตุและผล และนำไปประยุกต์กับสถาพการณ์ภายนอกการทดลองและกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง ลักษณะการดำเนินงานวิจัยเชิงทดลองนั้นจะเกี่ยวข้องกับ การเปรียบเทียบผลที่ได้จากกลุ่มที่ได้รับการทดลองและกลุ่มควบคุม หรือเปรียบเทียบผลที่ได้จากกลุ่มที่ได้รับการทดลองที่แตกต่างกันหลายๆ กลุ่ม สำหรับกลุ่มที่ได้รับการทดลองหรือที่นิยมเรียกกันว่ากลุ่มทดลองนั้น หมายถึงกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการทดลอง โดยที่ผู้ดำเนินการวิจัยจะจัดดำเนินการกับตัวแปรต้นในลักษณะที่เป็นสิ่งเร้า เช่น ในการเรียนการสอนระดับอนุบาลนั้น ผู้วิจัยต้องการทราบว่าการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตาให้แก่เด็กนักเรียนจะช่วยส่งเสริมความสามารถในด้านการอ่านหรือไม่ ในการนี้ กลุ่มทดลองก็จะได้รับการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตา สำหรับกลุ่มควบคุมนั้นในการดำเนินการทดลองกลุ่มดังกล่าวนี้จะไม่ได้รับสิ่งเร้า หรือตัวแปรต้นแต่อย่างใด และในการดำเนินการวิจัยที่ได้กล่าวข้างต้น กลุ่มควบคุมก็คือกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตา และเป็นกลุ่มที่มีการดำเนินการเรียนการสอนตามปรกติ
napamon
-
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย กำหนดปัญหาที่จะดำเนินการวิจัย เป็นการกำหนดปัญหาของการวิจัย และเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการวิจัยและในการเลือกปัญหาในการวิจัยต้องพิจารณาจากความรู้ ทัศนคติ ความสามารถของผู้วิจัย แหล่งความรู้ที่จะเป็นส่วนเสริมให้งานวิจัยสำเร็จ ประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่างการรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเงินทุน เวลาที่จะทำให้งานวิจัยสำเร็จ ซึ่งมีข้อควรพิจารณาในการเลือกปัญหาคือ ต้องเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่มีเหตุผล มีข้อมูลที่เที่ยงตรงและเชื่อถือสนับสนุน เป็นปัญหาที่แสดงถึงการริเริ่มซึ่งการกำหนดปัญหาดังกล่าวจะเป็นกรอบในการช่วยชี้แนวทางให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์เป็นกรอบในการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี งานวิจัย เป็นแนวทางกำหและสมมุติฐาน ช่วยกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินการวิจัย • กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัย (Statement of research objectives) เมื่อผู้วิจัยตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยต้องกำหนดข้อความที่เป็นปัญหาและวัตถุประสงค์ในการวิจัยให้ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นการค้นหาคำตอบที่ต้องการจากงานวิจัย วิธีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่นิยมใช้ที่สุดคือการตั้งสมมติฐานในการวิจัย• ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ( ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
การวิจัยเชิงทดลอง หลักการวิจัย 1.สาระสำคัญประกอบด้วย2.ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการวิจัย3.การเขียนเอกสารเชิงมโนมติ(Concept Paper)และการเขียนเค้าโครงการวิจัย(Research Proposal) 1.1 ความหมายของการวิจัย - การหาความรู้ ความจริงที่เชื่อถือได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีการใช้เหตุผลขั้นสูในการหาความรู้ เป็นวิธีที่มีแบบแผนและมีขั้นตอนต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ - วิธีการคิดค้น วิธีแก้ปัญหาที่มีระบบแบบแผนที่เชื่อถือได้ เพื่อก่อให้เกิดความรู้ที่เชื่อถือได้ เพื่อนำไปสู่กฎเกณฑ์ - กระบวนการเชิงระบบที่ใช้ในการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ - การค้นคว้าหาความรู้ ความจริงที่เชื่อถือได้ โดยวิธีการที่มีระเบียบแบบแผนเชื่อถือได้ เพื่อนำความรู้นั้นไปสร้างกฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อไว้ใช้ในการอ้างอิง อธิบายปรากฏการณ์ เฉพาะเรื่องและปรากฏการณ์ทั่วๆ ไปและเป็นผลทำให้สามารถทำนายและควบคุมการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ 1.2 ขั้นตอนการวิจัยโดยทั่วไป ขั้นที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา ขั้นที่ 2 ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย ขั้นที่ 3 ออกแบบ วางแผนและสร้างเครื่องมือวิจัย ขั้นที่ 4 รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ขั้นที่ 5 สรุปและเขียนรายงานผล 1.3 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้กับภารกิจของครู การปฏิรูปการศึกษามีหัวใจการปฏิรูปอยู่ที่ครูผู้สอนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีต่อสัมฤทธิผลการปฏิรูป ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน มีจริยธรรม มีคุณธรรม มีวัฒนธรรมและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หรือที่กล่าวกันว่า การจัดการเรียนการสอนที่ประสบสัมฤทธิผลก็คือการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข และเป็นหน้าที่โดยตรงของครู ดังปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่กำหนดภารกิจหลักของครูไว้ 3 ประการที่ต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน คือ ประการที่หนึ่ง ครูต้องใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ประการที่สอง ครูต้องทำการวิจัยเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา(มาตรา ประการที่สาม ครูต้องนำผลการวิจัยมาใช้ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน(มาตรา 30 ) ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกจากภารกิจทางด้านการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ครูยังคงต้องใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน จึงกล่าวได้ว่า การวิจัยเป็นกระบวนการหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ดังแผนภูมิข้างล่างนี้
การวิจัยเชิงคุณภาพ คำถามที่ได้ยินบ่อยครั้งในวงการศึกษาขั้นอุดมศึกษาในประเทศไทยปัจจุบัน ก็คือ “การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นคือการวิจัยแบบไหน” เหตุที่เกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นมาก็เพราะผู้ถามมีความรู้สึกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพนั้นปราศจากหลักเกณฑ์การทำวิจัยที่แน่นอน บางคนก็สรุปว่าการวิจัยเชิงคุณภาพคือการวิจัยที่ไม่อาศัยหลักเกณฑ์ทางสถิติมาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของการวิจัย บางคนคิดว่าการวิจัยเชิงคุณภาพคือการวิจัยแบบกว้างหรือแบบลึกในรูปของการศึกษารายกรณี (case study) และเป็นการวิจัยที่ขาดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน บางคนถึง กับวิจารณ์การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นไม่ต้องอาศัยทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งเป็นตัวชี้นำคือ เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยไม่ต้องจำกัดตัวเองกับทฤษฎี ข้อวิจารณ์ ที่ได้ยินมากที่สุดเห็นจะเป็นข้อวิจารณ์เกี่ยวกับการสรุปผลและการนำผลไปใช้ว่า การวิจัยเชิงคุณภาพขาดสถิติเป็นฐานอ้างอิง (limitation in reference and generalization) ข้อวิจารณ์ข้างต้นเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพอาจจะไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ถ้ามองดูงานวิจัยบางชิ้นในอดีตที่ดูเหมือนว่าทำโดยปราศจากหลักเกณฑ์อันแน่นอน ผู้วิจัยอาจจะไม่ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการวิจัยไว้ตายตัว เป้าหมายของการวิจัยมักจะถูกกำหนดกว้าง ๆ เช่น ต้องการจะศึกษาปัญหาของชุมชน ศึกษาประเพณี ธรรมเนียม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไปของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง กรณีที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การวิจัยหมู่บ้านโดยวิธีการทางมานุษวิทยา (Anthropological village studies) ที่ทำกันมาในอดีตที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อจะศึกษาสภาพบ้านเรือน ระบบวัฒนธรรม ระบบความสัมพันธ์ของบุคคล พิธีการต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจและวิธีการถ่ายทอดการเรียนรู้ ผลของการวิจัยทำนองนี้มักจะขึ้นกับปัจจัย 3 ประการ 1. สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติสังคม และวัฒนธรรมของหมู่บ้าน 2. บุคคลที่เป็น Key-informants ที่ให้ข้อมูลกับนักวิจัย และ 3. ขอบข่ายความสามารถและความสนใจส่วนตัวของผู้วิจัย ใน 3 ประการนี้ ปัจจัยประการที่ 2 และ 3 มักจะเป็นตัวชี้สำคัญเกี่ยวกับผลที่ได้ออกมา ผลที่ได้จึงจะขึ้นกับการมอง (perception) และการแปลความหมาย (interpretation) ของผู้ทำการวิจัย จุดอ่อนของการวิจัยเช่นนี้คือ หากมี ผู้วิจัย 2 คนไปทำงานในหมู่บ้านเดียวกัน ผลสรุปอาจออกมาต่างกันดังตัวอย่างได้เคยพบเห็นมาแล้ว แทนที่จะตอบคำถามโดยตรงว่า อะไรคือการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เขียนจะตอบโดยการยกกฎเกณฑ์เบื้องต้นของการวิจัยมาอธิบายซึ่งมีดังนี้คือ งานวิจัยนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการตอบ ปัญหาที่จะถามนั้นก็มีรูปแบบต่าง ๆ กันพอสรุปได้ว่าโดยทั่ว ๆ ไปปัญหาจะมีรูปแบบอยู่ 2 ประการ คือ ก. ปัญหาในเชิงปริมาณที่เน้นจำนวน เช่น “จะมีผู้ตัดสินใจเลือก นาย ก. กี่เปอร์เซนต์ คนจะใช้เวลานานเท่าไรในการตัดสินปัญหา ก. คนเป็นจำนวนเท่าไรที่เลือกทางออก X และเท่าไรที่เลือกทางออก Y หรือ Z ตามลำดับ” ข. ปัญหาในเชิงคุณภาพจะเป็นคำถามที่ถามถึงความรู้สึกการตัดสินใจ การให้เหตุผล แรงจูงใจหรือสภาวะภายในต่าง ๆ ของบุคคล ความประทับใจ ฯลฯ การที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างใกล้เคียงความจริงต้องอาศัยการวิจัยที่เน้นไปในทางคุณภาพ แม้ว่าจะมีการแบ่งการวิจัยออกตามคำถามดังกล่าวข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่าควรจะมีการวิจัยที่เป็นเชิงประมาณ 100% หรือเชิงคุณภาพ 100% งานวิจัยที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบทั้งปริมาณและคุณภาพ งานวิจัยใดที่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไปก็ย่อมจะเสียคุณค่า (valu) ของตัวของมันเอง
-
การศึกษาเปรียบเทียบ (Comparison studies) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งหาข้อความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงเปรียบเทียบระหว่างเรื่องหรือข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องหรือข้อมูลนั้นชัดเจนขึ้นผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา ข้อดี 1. ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ 2. เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น 3. ทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป ข้อเสีย 1. เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ 2. การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable) 3. การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้ การศึกษาเชิงทดลอง (Experimental studies) หมายถึง การศึกษาที่ผู้วิจัยเข้าไปมีบทบาทในการจัดกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเรื่องที่ศึกษา โดยสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่จะทดลองขึ้นและพยายามควบคุมตัวแปรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างมีระเบียบแบบแผนและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้น การวิจัยนี้มี 2 ลักษณะ คือ - การวิจัยเชิงทดลอง เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่จะทดลองขึ้น โดยพยายามควบคุมตัวแปรอิสระอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง แล้วสังเกตหรือวัดผลตัวแปรตามออกมา - การวิจัยกึ่งทดลอง เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถควบคุมตัวแปรอิสระที่ไม่ต้องการได้เพียงบางตัวเท่านั้น จึงทำให้เกิดความจำกัดในการสรุปผล การศึกษาเชิงคุณลักษณะหรือเชิงคุณภาพ (Qualitative studies) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งแสวงหาข้อความรู้ที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของเรื่องใดเรื่องหนึ่งในบริบทของเรื่องนั้นอย่างละเอียด ครอบคลุม และมีการวิเคราะห์ ตีความหมาย และหาความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ในเรื่องนั้น เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่อง หรือปรากฏการณ์นั้นอย่างลึกซึ้ง ตรงตามที่เป็นจริง ได้แก่ - การศึกษาทางมานุษยวิทยา (Anthropological studies) เป็นการศึกษาที่มุ่งหาข้อความรู้เกี่ยวกับมนุษย์กลุ่มอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มตนเอง - การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณา (Ethrographic Study) เป็นการศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ - การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณาระดับแคบ (Microethnography Study) เป็นการศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มคนหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งในวงแคบ - การศึกษาปรากฏการณ์ (Phenomenological Study) เป็นการศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มคนที่มีลักษณะพิเศษ
-
• การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ สามารถเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการวิจัยทั้งสองวิธีได้ดังนี้ ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน • วัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย • • ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้ 1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล 2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research) 3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ 5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ
การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้ การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง 1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ 1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล 1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ 1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี 1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้ 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ 2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E 2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y 3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable) ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย 2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย • 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน • 4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้ 4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผต่อตัวแปรตามมากที่สุด 4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้ 1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน • 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน มีวิธีการทำดังนี้ 1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร 2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย 3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม 4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น 4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าควมสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น 5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว 5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง 5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น 1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด 2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร 3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง 5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง 5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย 5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม 6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ 6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด 6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง 6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด
-
คำนิยามศัพท์ 1.Reduction in number of COMPARISON STUDIES หมายถึง การเรียงลำดับตัวเลขในการศึกษาวิจัย 2.Reduction in number of EXPERIMENTAL STUDIES หมายถึง การเรียงลำดับของการศึกษาทดลอง 3.Reduction in number of QUALITATIVE หมายถึง การเรียงลำดับตัวเลขของคุณลักษณะการศึกษา
-
ประโยคที่ 1 Reduction in number of Comparison studies. การเรียงลำดับตัวเลขของการเรียนรู้ในการวิจัย หรือ ในการศึกษา ก็ได้ค่ะ ประโยคที่ 2 Reduction in number of Experimental studies. การเรียงลำดับตัวเลขของการศึกษาทดลอง ประโยคที่ 3 Reduction in number of Qualitative studies. การเรียงลำดับตัวเลขของคุณลักษณะการศึกษา
-
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Export facto research) แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ถ้าสมมุติเราให้ C1___Cn แทนสาเหตุ (ในงานวิจัยจะเรียกว่าตัวแปรอิสระ) และ E แทนผล (ซึ่งก็เรียกในงานวิจัยว่าตัวแปรตาม) ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเครือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข 2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด 3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้ 1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล 2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research) 3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ 5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ
การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้ การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง 1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ 1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล 1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ 1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี 1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้ 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ 2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E 2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X 3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y 3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น 4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle 5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว 5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง 5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น 5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย 5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม 6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้ 6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด 6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง 6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด
|
|
<< Home |
|
|
|
|
About Me |

Name: Dr.Supit
Home: Bangkok, Thailand
About Me: I am an Educating Educator!
See my complete profile
|
Previous Post |
|
Archives |
|
Links |
|
Powered by |
 |
|
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ถ้าสมมุติเราให้ C1___Cn แทนสาเหตุ (ในงานวิจัยจะเรียกว่าตัวแปรอิสระ) และ E แทนผล (ซึ่งก็เรียกในงานวิจัยว่าตัวแปรตาม) ก็สามารถเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการวิจัยทั้งสองวิธีได้ดังนี้
ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
การวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) เช่น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงหรือนักศึกษาจึงไปขายบริการทางเพศ หรือขายมาแล้วกี่ครั้ง ถ้าหากไปแจกแบบสอบถามคงไม่มีใครตอบหรอกว่าทำไมเขาถึงทำ หรือทำมาแล้วมากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก ไม่สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเลขทางสถิติ ดังนั้นเราต้องเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของผู้หญิงกลุ่มนี้ อาจเป็นในสถานอาบอบนวดหรือสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ มีการพูดคุยชนิดที่เรียกว่าเจาะลึก (indepth interview) และถ้าเป็นผู้ชายไปถามเขาอาจไม่ตอบก็ได้ เพื่อดูว่าเขาให้ความหมายและคุณค่ากับอะไรในชีวิต เช่น “พรหมจรรย์” หรือ “เงิน” หรือ “เกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เมื่อได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความสร้างข้อสรุปว่าทำไมผู้หญิงถึงขายตัวหรือเป็นโสเภณี
ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้
1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล
2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research)
3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม
4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ
การวิจัยเชิงทดลอง
การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง
การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable)
ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้
1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น
2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง
3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้
4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้
4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผต่อตัวแปรตามมากที่สุด
4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้
1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย
2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้
4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้
1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร
2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ
- จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน
- จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม
4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น
4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าควมสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง
ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด
2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร
3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง
5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง
การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด