Education Unlimited

 
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Other things
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit. Duis ligula lorem, consequat eget, tristique nec, auctor quis, purus. Vivamus ut sem. Fusce aliquam nunc vitae purus.
Edtech Research Homeworks 1
Sunday, November 04, 2007
Please post your comments for homeworks here......
posted by Dr.Supit @ 7:56 AM  
10 Comments:
  • At 6:58 PM, Blogger Unknown said…

    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ถ้าสมมุติเราให้ C1___Cn แทนสาเหตุ (ในงานวิจัยจะเรียกว่าตัวแปรอิสระ) และ E แทนผล (ซึ่งก็เรียกในงานวิจัยว่าตัวแปรตาม) ก็สามารถเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการวิจัยทั้งสองวิธีได้ดังนี้
    ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
    1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง

    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) เช่น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงหรือนักศึกษาจึงไปขายบริการทางเพศ หรือขายมาแล้วกี่ครั้ง ถ้าหากไปแจกแบบสอบถามคงไม่มีใครตอบหรอกว่าทำไมเขาถึงทำ หรือทำมาแล้วมากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก ไม่สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเลขทางสถิติ ดังนั้นเราต้องเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของผู้หญิงกลุ่มนี้ อาจเป็นในสถานอาบอบนวดหรือสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ มีการพูดคุยชนิดที่เรียกว่าเจาะลึก (indepth interview) และถ้าเป็นผู้ชายไปถามเขาอาจไม่ตอบก็ได้ เพื่อดูว่าเขาให้ความหมายและคุณค่ากับอะไรในชีวิต เช่น “พรหมจรรย์” หรือ “เงิน” หรือ “เกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เมื่อได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความสร้างข้อสรุปว่าทำไมผู้หญิงถึงขายตัวหรือเป็นโสเภณี
    ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้
    1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล
    2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research)
    3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม
    4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
    5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ

    การวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
    1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
    1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
    1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
    1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
    1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
    2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
    2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
    2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
    3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
    3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
    3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
    3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
    3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable)
    ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้
    1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น
    2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง
    3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้
    4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
    ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้
    4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผต่อตัวแปรตามมากที่สุด
    4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้
    1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย
    2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้
    4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้
    1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร
    2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
    3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ
    - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน
    - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม
    4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น
    4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าควมสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
    5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
    5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
    5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
    5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
    1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด
    2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร
    3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง
    5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
    5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
    6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
    6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
    6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
    6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
    6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

     
  • At 7:52 PM, Blogger wannachon said…

    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย
    ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ
    ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    1.นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    2.การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
    จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน
    ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    ข้อดี
    1.ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น
    2.เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น
    3.ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป
    ข้อด้อย
    1.เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
    2.การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable)
    3.การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้


    การวิจัยเชิงทดลอง
    เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
    -เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
    -เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
    -เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
    -เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    -เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
    การวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
    -กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
    -กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
    ตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
    1. ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
    2. ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
    3. ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
    3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable)
    ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้
    1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น
    2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง
    3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้
    การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้
    -เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด
    -ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้
    1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย
    2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้
    -ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้
    1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร
    2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
    3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ
    - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน
    - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม
    -การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น
    -การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าความสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
    การวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
    -หรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
    -ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
    -แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
    1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด
    2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร
    3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง
    -การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
    -การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
    การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
    -ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
    -เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
    -ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
    -ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด


    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    Qualitative method
     การปฏิบัติกระทำกับข้อมูล ที่แจงนับไม่ได้ (หรือไม่เป็นตัวเลข) นั่นคือ ไม่ได้ใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติมาวิเคราะห์ทั้งหมด
     เน้นการสร้างแนวคิด การตีความเพื่อให้เกิดความเข้าใจในมนุษย์และสังคม
     ใช้การสังเกต สัมภาษณ์ สนทนาและจดบันทึก
     ให้ความสำคัญกับข้อมูลประเภทอัตชีวประวัติ โลกทัศน์และความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก
     ไม่จำเป็นต้องใช้สถิติชั้นสูงในการวิเคราะห์ แต่ใช้การอุปมาน (induction approach)
    ยุทธวิธีในการวิจัย
     เป็นการทำวิจัยในสภาพธรรมชาติ: ไม่มีการจัดหรือควบคุมสภาพแวดล้อม
     ผู้วิจัยจะสรุปปัญหาด้วยตรรกะแบบอุปนัย (Induction)
     มองภาพรวมรอบๆ ด้าน (Holistic Perspective)
     เน้นข้อมูลเชิงคุณภาพ
     เน้นกระบวนการพลวัต (Dynamic)
     เน้นเกี่ยวกับบริบท (Contextual)
     วิธีการวิจัยมีความยืดหยุ่นสูง
     เน้นความรู้สึกร่วม ความเข้าใจ (Empathy and insight)
     คุณภาพของผู้วิจัย: ต้องเป็นกลาง
    วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ
    เน้นความเข้าใจ ความหมาย ไม่ใช่ความถูกต้อง โดยไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทดสอบสมมติฐาน และนัยสำคัญทางสถิติ
    ความแตกต่างในการเก็บข้อมูล
    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    –เน้นการวิจัยภาคสนาม
    –จำนวนหน่วยการศึกษาน้อย
    –ไม่มีโครงสร้างคำถามตายตัว
    ความแตกต่างในลักษณะของข้อมูล
    - ต้องการหาข้อมูลประเภท “ทำไม” และ “อย่างไร” มากกว่าแค่ใครทำอะไรเท่านั้น
    - ให้ความสำคัญกับความหมายในทัศนะของผู้ตอบ ไม่ใช่ผู้ศึกษา
    ความแตกต่างในการวิเคราะห์ข้อมูล
    - ไม่จำเป็นต้องใช้สถิติขั้นสูง
    - เน้นการอธิบายระบบโดยรวม
     ข้อเด่น
    –มีความต้องการข้อมูลที่รอบด้าน
    –มีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายปรากฏการณ์อย่างลึกซึ้ง
    –ต้องการเข้าใจระบบความคิด ระบบความเชื่อของผู้ตอบโดยตรง
    –แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่ม
    –ค้นหาสาเหตุและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
    –เก็บข้อมูลจากบุคคลที่ได้เลือกสรรมาอย่างดีแล้ว
     ข้อจำกัด
    –เป็นงานที่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะ
    –ความแม่นตรงเชื่อถือได้ของเทคนิคการเก็บรวบรวมยากจะทดสอบ
    –ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยและประชากรที่ศึกษา
    –ไม่มีโครงสร้างการเก็บข้อมูลที่แน่นอน จึงยากต่อการนำไปใช้ซ้ำ
    วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ
     การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured Interview) หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview)
     การสนทนากลุ่ม (Focus Group interview)
     การสังเกตโดยตรง (Direct Observation)
     การวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสาร (Content Analysis of Written Material)
    เทคนิคการสัมภาษณ์ส่วนบุคคลเชิงลึก
     อยู่ในบรรยากาศเป็นส่วนตัว
     เป็นการสื่อความหมายแบบโต้ตอบกันทั้ง 2 ฝ่าย
     ต้องใช้เทปบันทึกเสียง
     ไม่มีคำถามตายตัว
     ถามกี่คน?: หยุดเมื่อคำตอบเริ่มเหมือนกันมากขึ้น และสรุปผลได้ในที่สุด
    ความเชื่อถือและไว้วางใจในคุณภาพ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ
     ความเชื่อถือได้ (Credibility): ความสอดคล้องของข้อมูล และการตีความของผู้วิจัย เกี่ยวกับความจริงกับความคิดของผู้ให้ข้อมูลว่าสอดคล้องกันหรือไม่
     การพึ่งพากับเกณฑ์อื่น (Dependability): ใช้นักวิจัยหลายคนร่วมสังเกต
     การถ่ายโอนผลการวิจัย (Transferability): สามารถใช้ผลงานนี้ไปอ้างอิงกับงานอื่นที่คล้ายคลึงกันได้
     การยืนยันผลการวิจัย (Confirm ability): เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นที่คล้ายกัน ทำให้มองเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

     
  • At 12:34 AM, Blogger Tossapon said…

    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    ตามปกติเมื่อมีปรากฏการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น มนุษย์ที่เป็นนักวิจัยก็มักจะพุ่งความสนใจโดยตั้งคำถามให้กับตนเองในทำนองที่ว่า “อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์นั้น ๆ หรือ ปรากฏการณ์นั้น ๆ เกิดได้อย่างไร” เพื่อที่จะได้คำตอบต่อคำถามนี้ นักวิจัยก็พยายามแล้วทำการสังเกตดูสิว่าจะเกิดผลเป็นปรากฏการณ์ดังที่เกิดขึ้นหรือไม่ลักษณะการกระทำเช่นนี้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า นักวิจัยคนดังกล่าวกำลังใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองแต่อย่างไรก็ตามในบางปรากฏการณ์ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์นั้น นักวิจัยไม่อาจทำการทดลองสร้างเหตุเพื่อสังเกตผลได้ นักวิจัยทำได้เพียงแต่รับรู้ผลแล้วพยายามหาสาเหตุต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกันเพื่อจะดูสิว่า สาเหตุใดกันแน่ที่ทำให้เกิดผลนั้น วิธีการกระทำเช่นนี้บอกให้เรารู้ว่า นักวิจัยกำลังใช้วิธีการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    สาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย
    ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
    1.นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    2.นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    3.การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
    จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างแบบแผนการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุและการเลือกสุ่มตัวอย่าง
    ลักษณะแบบแผนการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุที่เป็นแบบพื้นฐานง่ายที่สุดก็จะเป็นแบบแผนที่มีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มตามลักษณะตัวแปรอิสระ (หรือสาเหตุ) ที่ผู้วิจัยจำแนกไว้เพื่อศึกษา และถ้าเป็นแบบแผนที่ซับซ้อนขึ้นก็เป็นแบบแผนที่มีการเพิ่มกลุ่มตัวอย่างหลายกลุ่มตามลักษณะตัวแปรอิสระ (หรือสาเหตุ) นั่นเอง
    การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
    การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ สามารถจะใช้เครื่องมือใด ๆ เก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะข้อมูลที่ต้องการ เช่น อาจใช้แบบสอบถาม แบบทดสอบประเภทต่าง ๆ การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นต้น สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ก็ใช้ได้ทั้งสถิติภาคบรรยาย และสถิติอ้างอิง (ในกรณีที่มีการสุ่มตัวอย่าง) สำหรับการใช้สถิติอ้างอิงก็อาจใช้ t-test เพื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ใช้การวิเคราะห์จำแนกกลุ่ม (Discriminant Analysis) หรือ X2-test ทั้งนี้จะเลือกใช้สถิติใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและสมมติฐานที่ผู้วิจัยต้องการทดสอบงานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน
    ข้อดีและข้อจำกัดของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    จากลักษณะของการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นอาจสรุปข้อดี ข้อจำกัดได้ดังนี้
    ข้อดี
    1.ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น
    2.เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น
    3.ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป
    ข้อด้อย
    1.เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
    2.การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable)
    3.การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้
    การวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
    1.ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
    1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
    1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
    1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
    1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
    2.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
    2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
    2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
    3.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
    3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
    3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
    3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
    3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable)
    ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้
    1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น อายุ ความรู้พื้นฐาน ระดับการศึกษา เชื้อชาติ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด สภาพของครอบครัว ความสนใจ เจตคติ เป็นต้น
    2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย เช่น ความผิดพลาดในวิธีดำเนินการ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ทดสอบ เวลาที่ใช้ทดสอบ ความลำเอียง ความคลาดเคลื่อนของเวลาที่ใช้ในการทดลอง
    3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน เช่น บรรยากาศขณะทดลอง เสียงรบกวน สถานที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ แต่ตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้ผู้ทำการวิจัยสามารถควบคุมได้
    4.การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
    ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้
    4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด
    4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้
    1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือวัด การจับเวลาทดสอบผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยสามารถแก้ไขความคลาดเคลื่อนนี้ได้ กล่าวคือ ถ้าทราบว่าเครื่องมือวัดมีความบกพร่องก็แก้ความคลาดเคลื่อนได้โดยการสร้างเครื่องมือวัดให้มีความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นสูง ตลอดจนให้มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพสูงด้วย
    2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน เช่น ความเหนื่อย ความประมาทเลินเล่อ การเดาของผู้ถูกทดลอง ความสนใจ อารมณ์ สุขภาพร่างกาย ฯลฯ ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้สามารถแก้ไขโดยใช้กฎการแจกแจงปกติ (Normal distribution law) คำนวณหาค่าสถิติเพื่อจัดกระทำกับความคลาดเคลื่อนนี้
    4.3 ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Control extraneous systematic variance) เป็นการควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทดลองออกให้หมด เพื่อให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น มีวิธีการทำดังนี้
    1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร
    2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
    3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ
    - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน
    - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม
    4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น
    4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าความสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น

    5.ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
    5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
    5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
    5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
    1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด
    2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร
    3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง
    5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
    5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
    6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
    6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
    6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
    6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
    6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด
    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    1. การเตรียมตัวทำงานในสนาม
    “สนาม” ในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ พื้นที่ที่เราจะเข้าไปศึกษาอาจเป็นชุมชน หมู่บ้าน กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งจะตอบปัญหาที่เราต้องการได้ ผู้วิจัยต้องมีการเตรียมตัวเข้าสนามเริ่มตั้งแต่เตรียมภาษาท้องถิ่น การแต่งกายที่ผสมกลมกลืนกับคนในสังคมนั้นซึ่งจะทำให้อยู่ในที่นั้นได้ดี รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น สมุดบันทึก ดินสอ กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียง เมื่อเข้าสนามอาจบอกหรือไม่บอกว่าผู้วิจัยเป็นใครก็ได้ เพราะหากคนในสนามทราบว่าเราเป็นใครอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ แต่หากบอกวิธีดีที่สุด คือ การบอกความจริงว่าเราเป็นใคร มาทำอะไร อาจมีจดหมายแนะนำหรือใช้คนอื่นเป็นสื่อกลางก็ได้ มีการสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกกับคนในสังคมนั้นเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เช่น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเริ่มทำงานอาจเริ่มต้นด้วยการทำแผนที่ (mapping) ของชุมชนโดยการเดินสำรวจ การเลือกตัวอย่างที่จะศึกษา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เรียกว่าขั้นตอนของการเข้าสนามซึ่งนักวิจัยต้องศึกษาและเตรียมพร้อมทั้งก่อนเข้าสนามและในขณะอยู่ในสนาม
    2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
    เมื่อลงพื้นที่เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ให้ผู้วิจัยหยุดพักการใช้แนวคิดหรือทฤษฎีที่ได้ศึกษามาไว้ชั่วคราว โดยนำตัวเองเข้าไปสัมผัสปรากฎการณ์และพยายามเข้าให้ถึงวิธีอธิบายปรากฎการณ์แบบคนใน (insider) โดยใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียดดังนี้
    2.1 การสังเกต (Observation) การสังเกตในวิจัยเชิงคุณภาพมี 2 แบบ คือ
    2.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วนร่วม (participation observation) คือ การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มคนที่ศึกษา มีการกระทำกิจกรรมด้วยกันจนกระทั่งเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความหมายที่คนเหล่านั้นให้ต่อปรากฎการณ์ทางสังคมที่ผู้วิจัยศึกษา ซึ่งเมื่อสังเกตแล้วจะต้องมีการซักถามและการจดบันทึกข้อมูล (notetaking) ด้วย
    2.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non-participation observation) คือ การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปใช้ชีวิตร่วมหรือกิจกรรมกับกลุ่มคนที่ศึกษา โดยไม่ต้องการให้ผู้ถูกสังเกตรู้สึกรบกวนเพราะอาจทำให้พฤติกรรมผิดไปจากปกติได้ ซึ่งอาจใช้ในระยะแรกของการวิจัยแล้วใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมในระยะหลัง
    การสังเกตโดยปกติมีสิ่งที่ต้องสังเกตอยู่ 6 ประการ ได้แก่
    1. การกระทำ คือ การใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหาร การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน
    2. แบบแผนการกระทำ คือ การกระทำหรือพฤติกรรมที่เป็นกระบวนการ มีขั้นตอนจนเป็นแบบแผน ชี้ให้เห็นสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของสมาชิก
    3. ความหมาย คือ การให้ความหมายของการกระทำหรือแบบแผนพฤติกรรมนั้น
    4. ความสัมพันธ์ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนหรือสังคมนั้น
    5. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสมาชิก คือ การที่บุคคลยอมร่วมมือในกิจกกรมนั้น ๆ
    6. สภาพสังคม คือ ภาพรวมทุกแง่ทุกมุมที่สามารถประเมินได้
    2.2 การสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์เป็นการเจาะลึกประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยสนใจ อาจใช้สัมภาษณ์เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ มีหลายประเภท อาจแบ่งได้ดังนี้
    2.2.1 การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ (formal interview) หรือการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยได้เตรียมคำถามและข้อกำหนดไว้แน่นอนตายตัว โดยปกตินักวิจัยเชิงคุณภาพมักจะไม่ใช้วิธีการนี้เป็นหลัก เพราะไม่ได้ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้งและครอบคลุมเพียงพอโดยเฉพาะในแง่ของวัฒนธรรม ความหมายและความรู้สึกนึกคิด
    2.2.2 การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (informal interview) มักจะใช้ควบคู่ไปกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม โดยเตรียมคำถามกว้าง ๆ มาล่วงหน้า การสัมภาษณ์แบบนี้อาจแบ่งออกได้อีก คือ การสัมภาษณ์โดยเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (indepth interview) การตะล่อมกล่อมเกลา (probe) เป็นการซักถามที่ล้วงเอาส่วนลึกของความคิดออกมา และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informant interview) โดยกำหนดตัวผู้ตอบบางคนแบบเจาะจงเพราะมีข้อมูลที่ดี ลึกซึ้ง กว้างขวางเป็นพิเศษ รวมถึงการเงี่ยหูฟัง (eavesdropping) จากคำสนทนาของผู้อื่นโดยผู้วิจัยไม่ต้องตั้งคำถามเองก็เป็นเทคนิคของการวิจัยเชิงคุณภาพอีกอย่างหนึ่ง ตลอดจนการสนทนากลุ่ม (focus group discussion) โดยการจัดกลุ่มสนทนา ประมาณ 8 - 12 คน ที่มีคุณลักษณะบางประการคล้ายคลึงกัน
    ในการสัมภาษณ์มีขั้นตอนที่สำคัญ คือ การแนะนำตัว การสร้างความสัมพันธ์ การบันทึกคำตอบ การใช้ภาษา ตลอดจนเวลาและสถานที่ที่ใช้สัมภาษณ์
    2.3 วิธีการอื่น ๆ นอกจากการสังเกตและการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นวิธีการหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว อาจใช้วิธีการอื่น ๆ ได้ เช่น แบบสำรวจ แบบสอบถาม การศึกษาจากเอกสารซึ่งปกติจำแนกเป็นเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง โดยเอกสารชั้นต้น คือ เอกสารที่เป็นต้นฉบับ ส่วนเอกสารชั้นรอง คือ เอกสารที่มีผู้รวบรวมเอาไว้แล้ว
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอาจใช้อุปกรณ์ เช่น กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงหรือวีดีโอเทป เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้
    3. การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล
    หลังจากที่ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่จะต้องทำ คือ การตรวจสอบข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งอาจทำไปพร้อมกับการเก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ การตรวจสอบข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพที่นิยมใช้กัน เรียกว่า การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) ได้แก่ การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล โดยพิจารณาแหล่งเวลา แหล่งสถานที่และแหล่งบุคคลที่แตกต่างกัน คือ ถ้าข้อมูลต่างเวลากันจะเหมือนกันหรือไม่ ถ้าข้อมูลต่างสถานที่จะเหมือนกันหรือไม่ และถ้าบุคคลผู้ให้ข้อมูลเปลี่ยนไปข้อมูลจะเหมือนเดิมหรือไม่ การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย โดยเปลี่ยนตัวผู้สังเกต และการตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ กันเพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องเดียวกัน เช่น ใช้วิธีสังเกตควบคู่ไปกับการซักถาม
    สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพมักจะไม่ใช้สถิติช่วยในการวิเคราะห์ จะใช้แนวคิดทฤษฎีเป็นกรอบในการวิเคราะห์ โดยวิธีการหลักที่ใช้มี 2 วิธี คือ วิธีแรกเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ซึ่งได้จากการสังเกตและการสัมภาษณ์ที่ได้จดบันทึกไว้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือปรากฏการณ์ที่มองเห็น โดยผู้วิจัยได้เห็นหลาย ๆ เหตุการณ์และได้ทำการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าแล้วก็สามารถลงมือเขียนเป็นประโยคหรือข้อความเพื่อสร้างข้อสรุปได้ตามกรอบแนวคิดทฤษฎีหรือเพื่อตอบปัญหาของการวิจัย ข้อมูลที่ไม่ต้องการจะถูกกำจัดออกไปได้ วิธีที่สองเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ซึ่งได้จากการศึกษาเอกสาร (Document Research) ในการวิเคราะห์เอกสารผู้วิจัยต้องคำนึงถึงบริบท (context) หรือสภาพแวดล้อมของข้อมูลเอกสารที่นำมาวิเคราะห์ประกอบด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสองวิธีนี้จะเป็นข้อความแบบบรรยาย (descriptive) ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับประเด็นหรือปัญหาที่จะวิเคราะห์และการเลือกของนักวิจัย ดังนั้นการมีกรอบความคิดหรือทฤษฎีที่หลากหลายจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งและสร้างข้อสรุปที่หนักแน่น
    4. การเขียนรายงาน
    ในขั้นสุดท้ายของการวิจัย คือ การเขียนรายงานผลการวิจัย เพื่อนำเสนอผลงานที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยว่าได้ค้นพบความจริงหรือได้ความรู้ใหม่ ๆ อะไรบ้าง การเขียนรายงานต้องเตรียมเนื้อหาให้มีสาระครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ต้องวางเค้าโครงของรายงานก่อนแล้วจึงลงมือเขียนและต้องให้สอดคล้องกับประเภทของผู้อ่าน มีความถูกต้อง รัดกุม ชัดเจน มีความกลมกลืน ต่อเนื่อง เชื่อมโยงโดยหลักเหตุผล เน้นประเด็นสำคัญ และภาษาที่ใช้ต้องเป็นวิชาการหรือเป็นแบบทางการไม่ใช่ภาษาพูด หากมีข้อความใดน่าสนใจมีความหมายที่เป็นภาษาพูดให้ใช้เครื่องหมาย “……….” ได้

     
  • At 8:00 AM, Blogger napamon said…

    ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ (Causal-Comparative Research) หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ
    ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ หรือ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือทำไมประชาชนบางกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ อุบัติเหตุบนท้องถนน และความรู้ความเข้าใจต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยต่ำ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเคลือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมุติฐานการวิจัยได้ดังนี้
    1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง
    จะเห็นว่า ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมีความคล้ายคลึงยิ่งกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะเหตุว่างานวิจัยทั้งสองประเภทต่างก็มุ่งหวังจะรู้ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล เช่นเดียวกัน
    ข้อดี
    1. ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤคิกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ผู้วิจัยต้องการศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยตั้งสมมติฐานว่าเป็นเพราะการดื่มสุราของคนขับรถ และการกินยาม้า ผู้วิจัยไม่อาจใช้วิธีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มสุราจนกระทั่งมึนเมา หรือกินยาม้าจนกระทั่งออกฤทธิ์ แล้วให้กลุ่มตัวอย่างขับรถเพื่อสังเกตผล อุบัติเหตุหรือในกรณีการเกิดมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ การลงโทษกับการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านี้ เป็นต้น
    2. เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น
    3. ข้อค้นพบจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป
    ข้อด้อย
    1. เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
    2. การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable)
    3. การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้

    การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) เช่น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าทำไมผู้หญิงหรือนักศึกษาจึงไปขายตัว หากไปแจกแบบสอบถามคงไม่มีใครตอบหรอกว่าทำไมเขาถึงขายตัว ขายมาแล้วกี่ครั้ง ซึ่งไม่มีความหมายอะไรและทดสอบไม่ได้ด้วยค่าทางสถิติ เราต้องเข้าไปสังเกตดูพฤติกรรมของผู้หญิงกลุ่มนี้ อาจเป็นในสถานอาบอบนวดแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ ต้องไปพูดคุยแบบเจาะลึก (indepth interview) กับเขาดูว่าเขาให้ความหมายและคุณค่ากับอะไร “พรหมจรรย์” หรือ “เงิน” และถ้าเป็นผู้ชายไปถามเขาอาจไม่ตอบก็ได้ เมื่อได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความสร้างข้อสรุปว่า ทำไมผู้หญิงถึงขายตัวหรือไปเป็นโสเภณีได้ เขาให้ความหมายและคุณค่าอะไร
    การจะเลือกใช้วิธีการวิจัยอย่างไรนั้นต้องดูลักษณะของเรื่องที่จะทำการวิจัยด้วย โดยทั่วไปลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพจะมีลักษณะดังนี้
    1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล
    2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research)
    3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม
    4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
    5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรมโดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ
    เทคนิคของวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ
    1. การเตรียมตัวทำงานในสนาม
    2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
    2.1 การสังเกต (Observation) การสังเกตในวิจัยเชิงคุณภาพมี 2 แบบ คือ
    2.1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วนร่วม (participation observation)
    2.1.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non-participation observation)
    2.2 การสัมภาษณ์ (Interview)
    2.2.1 การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ (formal interview)
    2.2.2 การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (informal interview)
    2.3 วิธีการอื่น ๆ เช่น แบบสำรวจ แบบสอบถาม การศึกษาจากเอกสารซึ่งปกติจำแนกเป็นเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรอง โดยเอกสารชั้นต้น คือ เอกสารที่เป็นต้นฉบับ ส่วนเอกสารชั้นรอง คือ เอกสารที่มีผู้รวบรวมเอาไว้แล้ว
    ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอาจใช้อุปกรณ์ เช่น กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงหรือวีดีโอเทป เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้
    3. การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล

    การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้วิจัยทำการวิจัยหรือทำการทดลอง โดยควบคุมตัวแปรหรือสภาพการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี

    ลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองส่วนมากจะดำเนินการในห้องปฏิบัติการ และมีการดำเนินการเป็นส่วนมากในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ (laboratory experimentation) ต่อมาได้มีการนำวิธีการมาใช้ในสาขาวิชาทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ วึ่งทำการทดลองศึกษากับนักเรียนและใช้ห้องเรียนแทนห้องปฏิบัติการ ซึ่ง Kerlinger (1973) ได้เรียกชื่อว่า การทดลองนอกห้องปฏิบัติการ (field experimentation) การวิจัยเชิงทดลองในด้านการศึกษานั้นผู้วิจัยจะจัดดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งเร้าหรือตัวแปรต้น และสภาพแวดล้อมในการทดลอง แล้วสังเกตพฤติกรรมหรือสภาพของผู้ที่ถูกทำการทดลองว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ในการดำเนินการทดลองนี้ ผู้วิจัยจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยพยายามกำจัดหรือควบคุมองค์ประกอบนั้นๆ ในการทดลอง เพื่อที่จะได้ลงสรุปผลการทดลองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าหรือตัวแปรต้นที่ผู้วิจัยจัดดำเนินการและผลที่ได้จากการทดลองหรือตัวแปรตามในเชิงเหตุและผล เราจะเห็นได้ว่าจุดมุ่งหมายในระยะใกล้ของการวิจัยเชิงทดลองก็คือ ต้องการพยากรณ์เหตุการณ์หรือผลที่จะได้จากการทดลอง และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือต้องการที่จะลงความ (generalize) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามในเชิงเหตุและผล และนำไปประยุกต์กับสถาพการณ์ภายนอกการทดลองและกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง
    ลักษณะการดำเนินงานวิจัยเชิงทดลองนั้นจะเกี่ยวข้องกับ การเปรียบเทียบผลที่ได้จากกลุ่มที่ได้รับการทดลองและกลุ่มควบคุม หรือเปรียบเทียบผลที่ได้จากกลุ่มที่ได้รับการทดลองที่แตกต่างกันหลายๆ กลุ่ม สำหรับกลุ่มที่ได้รับการทดลองหรือที่นิยมเรียกกันว่ากลุ่มทดลองนั้น หมายถึงกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการทดลอง โดยที่ผู้ดำเนินการวิจัยจะจัดดำเนินการกับตัวแปรต้นในลักษณะที่เป็นสิ่งเร้า เช่น ในการเรียนการสอนระดับอนุบาลนั้น ผู้วิจัยต้องการทราบว่าการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตาให้แก่เด็กนักเรียนจะช่วยส่งเสริมความสามารถในด้านการอ่านหรือไม่ ในการนี้ กลุ่มทดลองก็จะได้รับการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตา สำหรับกลุ่มควบคุมนั้นในการดำเนินการทดลองกลุ่มดังกล่าวนี้จะไม่ได้รับสิ่งเร้า หรือตัวแปรต้นแต่อย่างใด และในการดำเนินการวิจัยที่ได้กล่าวข้างต้น กลุ่มควบคุมก็คือกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกเกี่ยวกับการรับรู้ทางด้านสายตา และเป็นกลุ่มที่มีการดำเนินการเรียนการสอนตามปรกติ

    napamon

     
  • At 6:18 PM, Blogger นิธิบุรณ์ ศีรจุมปา said…

    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุในการศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบนั้น ผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา การวิจัยชนิดนี้พยายามที่จะค้นคว้าหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรต่างๆ ซึ่งกระทำโดยการศึกษาย้อนหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนมากนักวิจัยจะดำเนินการวิจัยชนิดนี้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการวิจัยเชิงทดลองได้ เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ถูกทดลอง อย่างไรก็ดีการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์เชิง เหตุ-ผล ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดังเช่น การวิจัยเชิงทดลองนั้น ผู้วิจัยควรจะต้องระมัดระวังในการแปลความหมาย และสรุปความผลที่ได้จากการวิจัย
    กำหนดปัญหาที่จะดำเนินการวิจัย
    เป็นการกำหนดปัญหาของการวิจัย และเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการวิจัยและในการเลือกปัญหาในการวิจัยต้องพิจารณาจากความรู้ ทัศนคติ ความสามารถของผู้วิจัย แหล่งความรู้ที่จะเป็นส่วนเสริมให้งานวิจัยสำเร็จ ประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่างการรวบรวมข้อมูล รวมทั้งเงินทุน เวลาที่จะทำให้งานวิจัยสำเร็จ ซึ่งมีข้อควรพิจารณาในการเลือกปัญหาคือ ต้องเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่มีเหตุผล มีข้อมูลที่เที่ยงตรงและเชื่อถือสนับสนุน เป็นปัญหาที่แสดงถึงการริเริ่มซึ่งการกำหนดปัญหาดังกล่าวจะเป็นกรอบในการช่วยชี้แนวทางให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์เป็นกรอบในการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี งานวิจัย เป็นแนวทางกำหและสมมุติฐาน ช่วยกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินการวิจัย
    • กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
    การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัย (Statement of research objectives) เมื่อผู้วิจัยตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยต้องกำหนดข้อความที่เป็นปัญหาและวัตถุประสงค์ในการวิจัยให้ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นการค้นหาคำตอบที่ต้องการจากงานวิจัย วิธีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่นิยมใช้ที่สุดคือการตั้งสมมติฐานในการวิจัย• ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ( ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ

    การวิจัยเชิงทดลอง
    หลักการวิจัย
    1.สาระสำคัญประกอบด้วย2.ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการวิจัย3.การเขียนเอกสารเชิงมโนมติ(Concept Paper)และการเขียนเค้าโครงการวิจัย(Research Proposal) 1.1 ความหมายของการวิจัย
    - การหาความรู้ ความจริงที่เชื่อถือได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีการใช้เหตุผลขั้นสูในการหาความรู้ เป็นวิธีที่มีแบบแผนและมีขั้นตอนต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ
    - วิธีการคิดค้น วิธีแก้ปัญหาที่มีระบบแบบแผนที่เชื่อถือได้ เพื่อก่อให้เกิดความรู้ที่เชื่อถือได้ เพื่อนำไปสู่กฎเกณฑ์
    - กระบวนการเชิงระบบที่ใช้ในการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
    - การค้นคว้าหาความรู้ ความจริงที่เชื่อถือได้ โดยวิธีการที่มีระเบียบแบบแผนเชื่อถือได้ เพื่อนำความรู้นั้นไปสร้างกฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อไว้ใช้ในการอ้างอิง อธิบายปรากฏการณ์ เฉพาะเรื่องและปรากฏการณ์ทั่วๆ ไปและเป็นผลทำให้สามารถทำนายและควบคุมการเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้
    1.2 ขั้นตอนการวิจัยโดยทั่วไป
    ขั้นที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา
    ขั้นที่ 2 ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย
    ขั้นที่ 3 ออกแบบ วางแผนและสร้างเครื่องมือวิจัย
    ขั้นที่ 4 รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้
    ขั้นที่ 5 สรุปและเขียนรายงานผล
    1.3 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้กับภารกิจของครู
    การปฏิรูปการศึกษามีหัวใจการปฏิรูปอยู่ที่ครูผู้สอนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีต่อสัมฤทธิผลการปฏิรูป ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน มีจริยธรรม มีคุณธรรม มีวัฒนธรรมและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หรือที่กล่าวกันว่า การจัดการเรียนการสอนที่ประสบสัมฤทธิผลก็คือการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข และเป็นหน้าที่โดยตรงของครู ดังปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่กำหนดภารกิจหลักของครูไว้ 3 ประการที่ต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน คือ ประการที่หนึ่ง ครูต้องใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ประการที่สอง ครูต้องทำการวิจัยเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา(มาตรา ประการที่สาม ครูต้องนำผลการวิจัยมาใช้ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน(มาตรา 30 )
    ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกจากภารกิจทางด้านการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ครูยังคงต้องใช้กระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน จึงกล่าวได้ว่า การวิจัยเป็นกระบวนการหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ดังแผนภูมิข้างล่างนี้

    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    คำถามที่ได้ยินบ่อยครั้งในวงการศึกษาขั้นอุดมศึกษาในประเทศไทยปัจจุบัน ก็คือ “การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นคือการวิจัยแบบไหน” เหตุที่เกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นมาก็เพราะผู้ถามมีความรู้สึกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพนั้นปราศจากหลักเกณฑ์การทำวิจัยที่แน่นอน บางคนก็สรุปว่าการวิจัยเชิงคุณภาพคือการวิจัยที่ไม่อาศัยหลักเกณฑ์ทางสถิติมาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของการวิจัย บางคนคิดว่าการวิจัยเชิงคุณภาพคือการวิจัยแบบกว้างหรือแบบลึกในรูปของการศึกษารายกรณี (case study) และเป็นการวิจัยที่ขาดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน บางคนถึง กับวิจารณ์การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นไม่ต้องอาศัยทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งเป็นตัวชี้นำคือ เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยไม่ต้องจำกัดตัวเองกับทฤษฎี ข้อวิจารณ์ ที่ได้ยินมากที่สุดเห็นจะเป็นข้อวิจารณ์เกี่ยวกับการสรุปผลและการนำผลไปใช้ว่า การวิจัยเชิงคุณภาพขาดสถิติเป็นฐานอ้างอิง (limitation in reference and generalization)
    ข้อวิจารณ์ข้างต้นเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพอาจจะไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ถ้ามองดูงานวิจัยบางชิ้นในอดีตที่ดูเหมือนว่าทำโดยปราศจากหลักเกณฑ์อันแน่นอน ผู้วิจัยอาจจะไม่ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการวิจัยไว้ตายตัว เป้าหมายของการวิจัยมักจะถูกกำหนดกว้าง ๆ เช่น ต้องการจะศึกษาปัญหาของชุมชน ศึกษาประเพณี ธรรมเนียม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไปของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง กรณีที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การวิจัยหมู่บ้านโดยวิธีการทางมานุษวิทยา (Anthropological village studies) ที่ทำกันมาในอดีตที่นักมานุษยวิทยาเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อจะศึกษาสภาพบ้านเรือน ระบบวัฒนธรรม ระบบความสัมพันธ์ของบุคคล พิธีการต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจและวิธีการถ่ายทอดการเรียนรู้ ผลของการวิจัยทำนองนี้มักจะขึ้นกับปัจจัย 3 ประการ 1. สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติสังคม และวัฒนธรรมของหมู่บ้าน 2. บุคคลที่เป็น Key-informants ที่ให้ข้อมูลกับนักวิจัย และ 3. ขอบข่ายความสามารถและความสนใจส่วนตัวของผู้วิจัย ใน 3 ประการนี้ ปัจจัยประการที่ 2 และ 3 มักจะเป็นตัวชี้สำคัญเกี่ยวกับผลที่ได้ออกมา ผลที่ได้จึงจะขึ้นกับการมอง (perception) และการแปลความหมาย (interpretation) ของผู้ทำการวิจัย จุดอ่อนของการวิจัยเช่นนี้คือ หากมี ผู้วิจัย 2 คนไปทำงานในหมู่บ้านเดียวกัน ผลสรุปอาจออกมาต่างกันดังตัวอย่างได้เคยพบเห็นมาแล้ว แทนที่จะตอบคำถามโดยตรงว่า อะไรคือการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เขียนจะตอบโดยการยกกฎเกณฑ์เบื้องต้นของการวิจัยมาอธิบายซึ่งมีดังนี้คือ งานวิจัยนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการตอบ ปัญหาที่จะถามนั้นก็มีรูปแบบต่าง ๆ กันพอสรุปได้ว่าโดยทั่ว ๆ ไปปัญหาจะมีรูปแบบอยู่ 2 ประการ คือ
    ก. ปัญหาในเชิงปริมาณที่เน้นจำนวน เช่น “จะมีผู้ตัดสินใจเลือก นาย ก. กี่เปอร์เซนต์ คนจะใช้เวลานานเท่าไรในการตัดสินปัญหา ก. คนเป็นจำนวนเท่าไรที่เลือกทางออก X และเท่าไรที่เลือกทางออก Y หรือ Z ตามลำดับ”
    ข. ปัญหาในเชิงคุณภาพจะเป็นคำถามที่ถามถึงความรู้สึกการตัดสินใจ การให้เหตุผล แรงจูงใจหรือสภาวะภายในต่าง ๆ ของบุคคล ความประทับใจ ฯลฯ การที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างใกล้เคียงความจริงต้องอาศัยการวิจัยที่เน้นไปในทางคุณภาพ
    แม้ว่าจะมีการแบ่งการวิจัยออกตามคำถามดังกล่าวข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่าควรจะมีการวิจัยที่เป็นเชิงประมาณ 100% หรือเชิงคุณภาพ 100% งานวิจัยที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบทั้งปริมาณและคุณภาพ งานวิจัยใดที่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไปก็ย่อมจะเสียคุณค่า (valu) ของตัวของมันเอง

     
  • At 11:25 PM, Blogger thatsawan said…

    การศึกษาเปรียบเทียบ (Comparison studies)
    หมายถึง การศึกษาที่มุ่งหาข้อความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงเปรียบเทียบระหว่างเรื่องหรือข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องหรือข้อมูลนั้นชัดเจนขึ้นผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะทราบถึง องค์ประกอบหรือตัวแปรที่จะไปส่งเสริมหรือเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา
    ข้อดี
    1. ปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์บางประการที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาไม่สามารถจะหาคำตอบอธิบายได้ด้วยวิธีการเชิงทดลอง และถึงแม้อาจจะกระทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องของการผิดศีลธรรม จริยธรรม ลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องหาวิธีวิจัยบางประเภทที่สามารถกระทำได้ และให้คำตอบใกล้เคียงกับวิธีการทดลอง จากลักษณะดังกล่าวงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะถูกนำมาใช้ได้เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้
    2. เหมาะสมสำหรับหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนั่นคือ ในกรณีที่ผู้วิจัยคาดคิดว่าปรากฏการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นมีเพียงสาเหตุสำคัญบางสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นและผู้วิจัยต้องการหาคำตอบ ความสัมพันธ์เฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น
    3. ทำให้สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน เพื่อทดสอบในงานวิจัยเชิงทดลองต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้วิจัยต้องการความมั่นใจเพื่อจะลงสรุปในเชิงเหตุผลต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ผู้วิจัยก็จะนำสิ่งที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบจากวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุมาสร้างจัดกระทำเพื่อสังเกตผลต่อไป
    ข้อเสีย
    1. เนื่องจากงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ สาเหตุไม่สามารถทำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่น่าจะมีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ (ตัวแปรตาม) ได้ และนอกจากนั้นก็ยังมิได้จัดกระทำตัวแปรทรีตเม้นต์แต่อย่างใด ดังนั้น การลงสรุปผลงานวิจัยในความสัมพันธ์ที่เป็นเชิงเหตุผลจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากความเที่ยงตรงภายในของการวิจัย ประเภทนี้ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
    2. การจำแนกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบกันโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งซึ่งผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุมาเปรียบเทียบกัน อาจจะเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบที่แยกจากกันไม่เด่นชัด โดยเฉพาะการใช้เกณฑ์ตัวแปรอิสระที่เป็นตัวแปรทางด้านจิตวิทยา (Psychological Variable)
    3. การเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อทำการศึกษาในงานวิจัยประเภทนี้จะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ถูกกำหนดโดยลักษณะของตัวแปรหรือเกณฑ์ที่ผู้วิจัย สนใจศึกษา เปรียบเทียบจึงทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่ถูกเลือกโดยการสุ่ม ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่น และด้อยส่งผลต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษาก็ได้
    การศึกษาเชิงทดลอง (Experimental studies)
    หมายถึง การศึกษาที่ผู้วิจัยเข้าไปมีบทบาทในการจัดกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเรื่องที่ศึกษา โดยสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่จะทดลองขึ้นและพยายามควบคุมตัวแปรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างมีระเบียบแบบแผนและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้น การวิจัยนี้มี 2 ลักษณะ คือ
    - การวิจัยเชิงทดลอง เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่จะทดลองขึ้น โดยพยายามควบคุมตัวแปรอิสระอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง แล้วสังเกตหรือวัดผลตัวแปรตามออกมา
    - การวิจัยกึ่งทดลอง เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถควบคุมตัวแปรอิสระที่ไม่ต้องการได้เพียงบางตัวเท่านั้น จึงทำให้เกิดความจำกัดในการสรุปผล
    การศึกษาเชิงคุณลักษณะหรือเชิงคุณภาพ (Qualitative studies)
    หมายถึง การศึกษาที่มุ่งแสวงหาข้อความรู้ที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของเรื่องใดเรื่องหนึ่งในบริบทของเรื่องนั้นอย่างละเอียด ครอบคลุม และมีการวิเคราะห์ ตีความหมาย และหาความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ในเรื่องนั้น เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่อง หรือปรากฏการณ์นั้นอย่างลึกซึ้ง ตรงตามที่เป็นจริง ได้แก่
    - การศึกษาทางมานุษยวิทยา (Anthropological studies) เป็นการศึกษาที่มุ่งหาข้อความรู้เกี่ยวกับมนุษย์กลุ่มอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มตนเอง
    - การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณา (Ethrographic Study) เป็นการศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ
    - การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณาระดับแคบ (Microethnography Study) เป็นการศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มคนหรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งในวงแคบ
    - การศึกษาปรากฏการณ์ (Phenomenological Study) เป็นการศึกษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มคนที่มีลักษณะพิเศษ

     
  • At 12:45 AM, Blogger addtapon said…

    • การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ ความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Expost facto research) ลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุเป็นตรงกันข้ามกับการวิจัยเชิงทดลอง เพราะในขณะที่งานวิจัยเชิงทดลองสร้างเหตุ (สาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ) เพื่อสังเกตุผล แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ สามารถเขียนแผนภาพแสดงลักษณะการวิจัยทั้งสองวิธีได้ดังนี้
    ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน
    • วัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
    1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง

    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย

    • ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้
    1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล
    2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research)
    3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม
    4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
    5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ

    การวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
    1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
    1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
    1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
    1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
    1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
    2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
    2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
    2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
    3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
    3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
    3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
    3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
    3.4 ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรภายนอก (Extraneous variable) เป็นตัวแปรที่เกิดขึ้นและอาจมีอิทธิพลต่อผลการทดลองโดยที่ผู้วิจัยไม่ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่ต้องการทราบ ตัวแปรชนิดนี้นักวิจัยสามารถกำหนดวิธีการควบคุมได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรควบคุม (Control variable)
    ตัวแปรแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากแหล่งต่าง ๆ กัน ดังนี้
    1) จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนได้มากมาย 2) จากวิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบในการวิจัยเชิงทดลอง วิธีดำเนินการทดลองและการทดสอบก็อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นด้วย
    • 3) จากแหล่งภายนอก สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัยเชิงทดลองได้เหมือนกัน
    • 4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
    ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle ดังต่อไปนี้
    4.1 เพื่อความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Maximized systematic variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการเพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด ซึ่งทำได้โดยการกำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันกันและ ตลอดจนควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผต่อตัวแปรตามมากที่สุด
    4.2 ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Minimized error variance) เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังนี้
    1) ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (Systematic error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน
    • 2) ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม (Random error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดกับกลุ่มตัวอย่างบางส่วน ทำให้เกิดความไม่เท่ากันของโอกาสในการเกิดขึ้นของตัวแปรแทรกซ้อน มีวิธีการทำดังนี้
    1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นการกระทำให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มออกมาจากกลุ่มประชากรมีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ พอ ๆ กัน จึงสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เป็นอย่างไร
    2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) ในกรณีที่ตัวแปรแทรกซ้อนบางตัวควบคุมได้ยาก ก็ให้เอาตัวแปรนั้นเพิ่มเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
    3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ ให้มีลักษณะของตัวแปรแทรกซ้อนในระดับที่เท่า ๆ กัน การจับคู่มี 2 แบบคือ
    - จับกลุ่ม (Matched group) เป็นการจัดให้ทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเหมือนกัน โดยมิได้คำนึงถึงว่าสมาชิกในกลุ่มจะเท่ากันเป็นรายบุคคลหรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มแล้วนำทั้ง 2 กลุ่มหรือหลาย ๆ กลุ่มมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (`X ) และความแปรปรวน (S2) ถ้าพบว่าแตกต่างกัน ก็ต้องจัดกลุ่มใหม่เพื่อได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกัน
    - จับคู่รายบุคคล (Matched subjects) เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันมาจับคู่กัน แล้วแยกออกเป็นคนละกลุ่ม ทำเช่นนี้จนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ก็จะได้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติทุกด้านเหมือนกัน นำ 2 กลุ่มนี้มาทดสอบดูนัยสำคัญเชิงสถิติเพื่อดูความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และความแปรปรวนเช่นเดียวกับการจับกลุ่ม
    4.4 การใช้สถิติ (Statistical control) เทคนิควิธีการทางสถิติที่สามารถนำมาควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ก็คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance) จะสามารถปรับคุณสมบัติที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างได้ ทำให้ผลที่ปรากฏเป็นผลจากการทดลองเท่านั้น
    4.5 การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป เช่น ถ้าคิดว่าควมสนใจเกี่ยวข้องกับการทดลองและจะไม่เอามาเป็นตัวแปรอิสระ จำเป็นจะต้องตัดตัวแปรนี้ออกไป วิธีการก็คือเลือกเอากลุ่มตัวอย่างที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
    5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
    5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
    5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
    5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
    1) ไม่สามารถตรวจสอบสมมติฐานได้หมด
    2) การเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนของมวลประชากร
    3) เครื่องมือขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    4) ข้อมูลที่ได้ขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง
    5) ผลการทดลองไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการทดลอง
    5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
    5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
    6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
    6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
    6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
    6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
    6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

     
  • At 6:50 AM, Blogger lukchai.waitum said…

    คำนิยามศัพท์
    1.Reduction in number of COMPARISON STUDIES หมายถึง การเรียงลำดับตัวเลขในการศึกษาวิจัย
    2.Reduction in number of EXPERIMENTAL STUDIES หมายถึง การเรียงลำดับของการศึกษาทดลอง
    3.Reduction in number of QUALITATIVE หมายถึง การเรียงลำดับตัวเลขของคุณลักษณะการศึกษา

     
  • At 6:12 PM, Blogger Unknown said…

    ประโยคที่ 1 Reduction in number of Comparison studies.
    การเรียงลำดับตัวเลขของการเรียนรู้ในการวิจัย หรือ ในการศึกษา ก็ได้ค่ะ

    ประโยคที่ 2 Reduction in number of Experimental studies.
    การเรียงลำดับตัวเลขของการศึกษาทดลอง
    ประโยคที่ 3 Reduction in number of Qualitative studies.
    การเรียงลำดับตัวเลขของคุณลักษณะการศึกษา

     
  • At 11:50 PM, Blogger pajongjit said…

    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
    ความหมายและลักษณะการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ เมื่อพิจารณาความหมายจากชื่อ (Causal-Comparative Research) ก็หมายถึงงานวิจัยที่พยายามหาสาเหตุหลายสาเหตุมาศึกษาเปรียบเทียบคาดคะเนดูว่า สาเหตุใดทำให้เกิดผลดังที่เป็นอยู่ จากความหมายของงานวิจัยบอกให้รู้ว่า ทั้งผล (Effect) และ เหตุ (Cause) ต่างก็เกิดขึ้นแล้วเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า นักวิจัยเพียงแต่อยากรู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดผลนั้น นั่นก็คือ นักวิจัยทำการศึกษาย้อนรอยข้อเท็จจริงในปัจจุบันสืบสาวไปหาสาเหตุในอดีต ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ บางครั้งจึงเรียกว่า การวิจัยย้อนรอย (Export facto research) แต่การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุจะสนใจรับรู้ผลเพื่อศึกษาหาสาเหตุ ถ้าสมมุติเราให้ C1___Cn แทนสาเหตุ (ในงานวิจัยจะเรียกว่าตัวแปรอิสระ) และ E แทนผล (ซึ่งก็เรียกในงานวิจัยว่าตัวแปรตาม) ลักษณะการตั้งปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ
    ขั้นแรกที่สุดสำหรับการตั้งปัญหาในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนั้น ผู้วิจัยจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้นิยามต่อปรากฏการณ์หรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งกำหนดลงไปให้แน่นอน เช่น ปัญหาว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล หรือทำไมมีนักเรียนส่วนน้อยที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ต่ำ ทำนองนี้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาย้อนกลับไป หลังจากนั้นนักวิจัยจะต้องให้ความหมายของคำที่เป็นปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งปกติก็จะกระทำที่คิดว่าน่าจะก่อให้เกิดความกำกวมเข้าใจไม่ตรงกัน จากตัวอย่างเช่นคำว่า ความคิด สร้างสรรค์ คำดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจำเป็นต้องให้ความหมายเพื่อขจัดความคลุมเครือ เมื่อผู้วิจัยมีความชัดเจนในสิ่งที่เป็นปัญหาการวิจัยแล้วก็จะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนั้น ๆ ตลอดกระทั่ง การตั้งสมมติฐานการวิจัย สำหรับการตั้งสมมติฐานในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุนี้ นักวิจัยกระทำได้โดยการพยายามจำแนกคาดการณ์สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุ แล้วจึงตั้งสมมติฐานตามสาเหตุที่จำแนกได้ เช่นจากตัวอย่างปัญหาที่ว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความคิดสร้างสรรค์ในบุคคล ผู้วิจัยอาจจะกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัยได้ว่า เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ทางความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล และอาจจำแนกสาเหตุตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัยได้ดังนี้
    1. นักเรียนที่มีความถนัดทางการเรียนด้านศิลปะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มีความถนัดด้านจำนวนตัวเลข
    2. นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดูแบบปล่อยเสรีมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่มาจากครอบครัวที่มีสภาพการเลี้ยงดู แบบเข้มงวด
    3. การจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าการจัดบรรยากาศชั้นเรียนแบบครู เป็นศูนย์กลาง

    การวิจัยเชิงคุณภาพ
    การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการแสวงหาความรู้โดยการพิจารณาปรากฏการณ์สังคมจากสภาพแวดล้อมตามความจริงในทุกมิติ สนใจข้อมูลด้าน ความรู้สึกนึกคิด การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล เน้นการเข้าไปสัมผัสกับข้อมูลหรือปรากฏการณ์โดยตรง มักใช้เวลานานในการศึกษาติดตามระยะยาว ไม่เน้นการใช้สถิติตัวเลขในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสังเกตและการสัมภาษณ์เป็นวิธีหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มีดังนี้
    1. เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การให้ความหมายหรือคุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมหรืออุดมการณ์ของบุคคล
    2. เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ในบริบทสังคมและวัฒนธรรม หรือสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง ในภาพรวมโดยการมองจากหลายแง่มุม มักจะมีการวิจัยในสนาม (Field research)
    3. เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึกเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สังคม
    4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัยโดยการเข้าไปสัมผัส สร้างความสนิทสนมและความไว้เนื้อเชื่อใจ
    5. ใช้การพรรณนาให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนหรือกรณีที่ศึกษา และใช้การวิเคราะห์ตีความโดยนำข้อมูลเชิงรูปธรรมย่อย ๆ หลาย ๆ กรณีมาสรุปเป็นเชิงนามธรรม โดยพิจารณาจากลักษณะร่วมที่พบ

    การวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลอง เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ความจริงโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบหนึ่ง ซึ่งศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรในการทดลองที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ได้รับการควบคุมอย่างรัดกุม เพื่อศึกษาว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จัดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงของผลหรือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติ กับที่เกิดขึ้นในสภาพที่ได้รับการควบคุมตามเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการอธิบาย ทำนาย และควบคุมได้
    การวิจัยเชิงทดลองเป็นการศึกษาจากสาเหตุไปหาผล คือต้องการจะทราบว่าตัวแปรที่ศึกษานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่น ถ้าเกิด X แล้วจะต้องเกิด Y หรือไม่ (If X the Y) ดังนั้นถ้าจะกล่าวให้เห็นชัดขึ้นก็อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และถือกันว่าเป็นการวิจัยที่ให้ความเชื่อถือในผลการวิจัยที่ดีที่สุด ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญ ๆ ของการวิจัยเชิงทดลอง
    1. ความมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
    1.1 เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผล
    1.2 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
    1.3 เพื่อนำผลการวิจัยไปสร้างเป็นกฎเกณฑ์ สูตร ทฤษฎี
    1.4 เพื่อวิเคราะห์หรือค้นหาข้อบกพร่องของงานต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
    1.5 เพื่อนำผลการทดลองไปใช้
    2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักจะมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 2 ประเภทคือ
    2.1 กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทำ (treatment) ในการทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ E
    2.2 กลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่มทดลอง แต่ไม่ได้รับการจัดกระทำ คงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง นิยมใช้สัญลักษณ์ C
    3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยเชิงทดลอง
    เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลองยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงตัวแปรที่สำคัญในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 4 ชนิดดังนี้
    3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำการทดลองว่าเป็น “สาเหตุ” หรือไม่ ตัวแปรอิสระนี้บางทีเรียกว่า ตัวแปรการทดลอง (Experimental variable) หรือตัวแปรจัดกระทำ นิยมใช้สัญลักษณ์ X
    3.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรที่ต้องการทราบว่าเป็น “ผล” ที่เกิดจาก “สาเหตุ” หรือไม่ นิยมใช้สัญลักษณ์ Y
    3.3 ตัวแปรเชื่อมโยง (Intervening variable) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวแปรสอดแทรก เกิดขึ้นจากกระบวนการทางจิตวิทยาระหว่างดำเนินการทดลอง จึงไม่สามารถควบคุมตัวแปรชนิดนี้ได้และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วย จากการที่ตัวแปรนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม จึงอาจเรียกว่า ตัวแปรภายใน ก็ได้ เช่น ความโกรธ ความวิตกกังวล การปรับตัว การจูงใจ เป็นต้น
    4. การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
    ได้กล่าวมาแล้วว่า ในการวิจัยเชิงทดลองนั้นย่อมมีตัวแปรแทรกซ้อนเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องควบคุมตัวแปรชนิดนี้ให้หมดไป เพื่อจะได้ทราบว่าตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนนิยมใช้หลักการควบคุมที่เรียกว่า Max-Min-Con Principle
    5. ข้อบกพร่องของการวิจัยเชิงทดลอง
    ในการวิจัยเชิงทดลองมักพบข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ ดังนี้
    5.1 กลุ่มตัวอย่างส่งผลให้การวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มการทดลองมีคุณสมบัติหรือลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น พื้นฐานทางวัฒนธรรม สติปัญญา เป็นต้น หรือไม่ได้รับการกระทำ (treatment) ที่เสมอกัน หรือกลุ่มตัวอย่างถูกจัดกระทำในเรื่องที่มีพื้นฐานนั้น ๆ อยู่แล้ว
    5.2 ขาดการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่รัดกุม ดังนั้นผลการทดลองจึงอาจไม่เป็นผลเนื่องจากการทดลอง
    5.3 แบบแผนการทดลองขาดความเที่ยงตรงทั้งภายในและภายนอก (Internal and External validity) เช่น
    5.4 การใช้สถิติวิเคราะห์ไม่เหมาะสมกับงานวิจัย
    5.5 การสรุปผลการทดลองมักจะขาดความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง เพราะการควบคุม การวางแผนต่าง ๆ ไม่รัดกุม
    6. ประโยชน์ของการวิจัยเชิงทดลอง
    การวิจัยเชิงทดลองมีประโยชน์ดังนี้
    6.1 ทำให้ทราบถึงองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเด่นชัด
    6.2 เป็นการวิจัยที่เหมาะกับวิชาที่เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
    6.3 ผลที่ได้จากการวิจัยด้านการเรียนการสอนสามารถนำมาช่วยพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น และทำให้ครูอาจารย์มีความรู้กว้างขวาง
    6.4 ช่วยให้ทราบจุดอ่อนของการเรียนการสอน และสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

     
Post a Comment
<< Home
 
About Me

Name: Dr.Supit
Home: Bangkok, Thailand
About Me: I am an Educating Educator!
See my complete profile
Previous Post
Archives
Links
Powered by

Free Blogger Templates

BLOGGER

© Education Unlimited Template by Isnaini Dot Com